แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีก่อน ศาลเพียงแต่ตรวจดูคำฟ้องแล้ววินิจฉัยในทำนองว่าเมื่อตามคำฟ้องมีความหมายเท่ากับโจทก์กล่าวไว้เองว่า โจทก์จำเลยไม่มีสัญญาต่อกันแล้ว ถ้าเป็นความจริงดังที่โจทก์กล่าวอ้างก็ไม่มีสัญญาอะไรที่โจทก์จะนำมาฟ้องขอให้ศาลสั่งเป็นโมฆะได้อีก ส่วนที่โจทก์ขอให้จำเลยรื้อถอนเสาออกไปจากที่ของโจทก์นั้นตามคำฟ้องก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้เคยบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนและจำเลยขัดขืน จึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิ อันจะเป็นเหตุให้ศาลบังคับจำเลยได้ แล้วพิพากษายกฟ้องคำพิพากษา ดังนี้ ไม่อาจถือได้ว่าศาลได้ฟังว่าสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยเลิกกันแล้ว ต่อมาโจทก์แจ้งให้จำเลยรื้อถอนเสา แล้วมาฟ้องเป็นคดีใหม่ ขอให้บังคับให้จำเลยรื้อถอนเสาออกจากที่ของโจทก์ โดยอาศัยผลแห่งคำพิพากษาในคดีก่อน ดังนี้ หาบังคับได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยมีใจความว่า สัญญาที่โจทก์จำเลยทำกันไว้รวม 2 ฉบับตกเป็นโมฆียะและโมฆะ โจทก์ได้บอกล้างแล้วขอให้ศาลพิพากษาว่าสัญญาตกเป็นโมฆะ ให้จำเลยถอนเสาซีเมนต์ออกไปให้พ้นจากที่ดินของโจทก์ ศาลจังหวัดสิงห์บุรีพิพากษาว่า โจทก์ได้แสดงเจตนาเลิกสัญญากับจำเลย เท่ากับว่าไม่มีสัญญาอะไรต่อกันแล้ว โจทก์จึงไม่มีสัญญาอะไรที่จะมาฟ้องให้ศาลสั่งเป็นโมฆะอีกได้ แต่การที่จะให้จำเลยรื้อถอนเสาซีเมนต์ออกไป ยังบังคับให้ไม่ได้เพราะก่อนฟ้องโจทก์มิได้แจ้งให้จำเลยทราบ ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยขัดขืน จึงให้ยกฟ้องคดีถึงที่สุด ตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 16/2511 นับแต่ศาลพิพากษาแล้วจนบัดนี้ จำเลยยังคงทอดทิ้งเสาซีเมนต์ปักอยู่ในที่ดินของโจทก์โดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย ทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยรื้อถอนไปแล้ว จำเลยขัดขืน จึงขอให้บังคับให้จำเลยถอนเสาซีเมนต์ไปให้พ้นที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์สมคบกับพวกทำอุบายหาเหตุบอกเลิกสัญญาโดยมิชอบ และนำคดีมาฟ้องขอให้ศาลสั่งเป็นโมฆะซึ่งจำเลยได้ให้การต่อสู้ในคดีนั้นว่า โจทก์เป็นฝ่ายไม่ปฏิบัติตามสัญญาและสัญญาไม่เป็นโมฆะ ศาลสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษา คำพิพากษาดังกล่าวหาได้เป็นการวินิจฉัยว่าสัญญาเป็นโมฆะไม่ จำเลยจึงถือว่าสัญญายังมีผลใช้บังคับอยู่ ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดชี้สองสถาน จำเลยแถลงรับว่าโจทก์จำเลยเป็นบุคคลเดียวกับโจทก์จำเลยคดีหมายเลขแดงที่ 16/2511 และก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนเสาซีเมนต์แล้ว
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นได้ และพิพากษาว่าคดีหมายเลขแดงที่ 16/2511 นั้น ศาลได้พิพากษาว่า สัญญาซึ่งโจทก์จำเลยทำไว้ไม่มีต่อกันเพราะโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาต่อจำเลยเสียแล้วคำพิพากษานั้นผูกพันโจทก์จำเลย ส่วนข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่าสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยยังถือไม่ได้ว่าศาลได้มีคำพิพากษาให้เป็นโมฆะนั้น ไม่ใช่ข้อที่ศาลจะต้องวินิจฉัยในคดีนี้ ฉะนั้น เมื่อโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนเสาซีเมนต์แล้ว จำเลยไม่รื้อถอน จึงเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ ให้จำเลยถอนเสาซีเมนต์ไปให้พ้นที่ดินโจทก์ภายใน 15 วัน ส่วนคำขอที่ว่าถ้าจำเลยไม่รื้อถอนขอให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นเครื่องแสดงเจตนาของจำเลยว่า ยินยอมให้โจทก์รื้อถอนเสาซีเมนต์ออกไปได้นั้น บังคับให้ไม่ได้ ให้ยก
โจทก์จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ในคดีหมายเลขแดงที่ 16/2511 นั้น ศาลชั้นต้นเพียงแต่ตรวจดูคำฟ้องแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องโดยอ้างว่าสัญญาตามฟ้อง 2 ฉบับที่โจทก์ทำไว้กับจำเลยตกเป็นโมฆียะและโมฆะ แต่ปรากฏตามคำฟ้องว่าก่อนฟ้องคดีนั้นโจทก์ได้บอกล้างนิติกรรมต่อจำเลย จำเลยตกลงว่าจะนำสัญญาที่ทำกันไว้มาคืนแก่โจทก์ ก็เมื่อโจทก์เองได้แสดงเจตนาเลิกสัญญาต่อจำเลยเช่นนี้ จึงเท่ากับว่าโจทก์จำเลยไม่มีสัญญาต่อกันแล้ว โจทก์จึงไม่มีสัญญาอะไรที่จะมาฟ้องขอให้ศาลสั่งเป็นโมฆะอีกได้ ส่วนคำขอที่ขอให้จำเลยถอนเสาซีเมนต์ออกไปให้พ้นที่ดินของโจทก์นั้น ตามคำฟ้องก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้เคยบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนออกไปและจำเลยขัดขืน จึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้ถูกโต้แย้งสิทธิ อันจะเป็นเหตุให้ศาลบังคับจำเลยได้ จะพิพากษาบังคับให้ตามคำขอนี้ไม่ได้เช่นกัน แล้วพิพากษายกฟ้อง
ตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นดังกล่าวนั้น ย่อมเห็นได้ว่ามิได้วินิจฉัยชี้ขาดลงไปว่าสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยยังมีอยู่หรือไม่หากแต่วินิจฉัยไปในทำนองที่ว่า เมื่อตามคำฟ้องของโจทก์มีความหมายเท่ากับโจทก์กล่าวไว้เองว่าโจทก์จำเลยไม่มีสัญญาต่อกันแล้ว ถ้าความจริงเป็นดังที่โจทก์กล่าวอ้าง ก็ไม่มีสัญญาอะไรที่โจทก์จะนำมาฟ้อง ขอให้ศาลสั่งเป็นโมฆะได้อีก เมื่อเป็นดังนี้ ที่โจทก์ฎีกาว่าศาลชั้นต้นได้ฟังว่าสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยเลิกกันแล้วนั้นจึงหาถูกต้องไม่ โจทก์ไม่อาจอ้างเอามาเป็นเหตุเพื่อขอให้บังคับให้จำเลยรื้อถอนเสาซีเมนต์ออกไปจากที่ของโจทก์ ถึงแม้ว่าคดีนี้โจทก์จะอ้างว่าโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยรื้อถอนแล้วจำเลยไม่ปฏิบัติตามก็ดี
พิพากษายืน