คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2194/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ระหว่างเป็นความกันในคดีก่อนเรื่องแย่งสิทธิครอบครองในที่พิพาทนั้น โจทก์จำเลยได้ตกลงประมูลเข้าทำสวนยางและนาพิพาท โดยตกลงกันให้นำเงินที่ประมูลได้มาวางศาลจนกว่าคดีจะถึงที่สุดเพื่อให้ฝ่ายชนะคดีรับไปโจทก์เสนอราคาปีละ 16,000 บาท จำเลยเสนอราคาปีละ 16,500 บาทจึงเป็นฝ่ายประมูลได้ ศาลได้จดบันทึกข้อตกลงระหว่างคู่ความไว้ว่าจำเลยจะต้องนำเงินมาวางศาลภายในเดือนพฤษภาคมของทุกปีเริ่มตั้งแต่ปี 2520เป็นต้นไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุด เมื่อคดีก่อนได้ถึงที่สุดในชั้นศาลฎีกาโดยเพิ่งอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2523 และจำเลยได้ชำระค่าประมูลในปี 2520 แล้ว ก็มีหน้าที่ต้องชำระค่าประมูลสำหรับปี 2521,2522 และ 2523 ตามข้อตกลงที่ทำไว้ต่อหน้าศาลซึ่งมีผลบังคับได้ ส่วนที่ข้อตกลงนั้นได้มีเงื่อนไขไว้ด้วยว่าหากจำเลยผิดนัดยอมให้โจทก์เข้าทำประโยชน์โดยนำเงินมาวางศาลปีละ 16,000 บาทนั้น เป็นเงื่อนไขที่บังคับไว้ในกรณีที่จำเลยผิดนัดสำหรับค่าประมูลในปีเริ่มต้นคือในปี 2520 นั้นเอง แต่ปรากฏว่าจำเลยได้ชำระค่าประมูลในปี 2520 แล้ว ปัญหาที่โจทก์จะเข้าทำประโยชน์เสียเองในที่พิพาทจึงหมดไป
ที่โจทก์ฎีกาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเพิ่มขึ้นโดยรวมค่าจ้างทนายความค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตลอดจนการที่จำเลยทำให้ต้นยางของโจทก์เสียหายนั้นโจทก์มิได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายเกี่ยวกับค่าเสียหายเหล่านี้มาโดยชัดแจ้งในฎีกาว่า ศาลล่างพิพากษามาโดยไม่ชอบอย่างไร โดยเฉพาะโจทก์มิได้ กล่าวมาโดยชัดแจ้งตั้งแต่ในชั้นอุทธรณ์จนศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้มาแล้ว ฎีกาส่วนนี้จึงไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เคยฟ้องจำเลยในข้อหาแย่งสิทธิครอบครองที่ดินคดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี ในคดีนี้นั้นจำเลยได้ประมูลการเข้าทำประโยชน์ที่ดินพิพาทในระหว่างเป็นความปีละ 16,000 บาท โดยจะวางเงินภายในเดือนพฤษภาคม ของทุกปีจนกว่าคดีจะถึงที่สุด แต่จำเลยค้างชำระมา 48,000 บาท และทำให้โจททก์เสียค่าจ้างทนายความและค่าใช้จ่าย17,000 บาท กับทำให้ต้นยางและต้นไม้อื่นเสียหาย 25,000 บาท ขอบังคับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 90,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย

จำเลยให้การว่า จำเลยได้วางเงินต่อศาลแล้ว 16,500 บาท และมิได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทอีกตั้งแต่ปีต่อมา จึงไม่ต้องชำระเงินให้โจทก์เกินกว่านี้อีก

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิเรียกได้เพียงค่าเข้าทำประโยชน์ในปี 2521 ที่จำเลยค้างชำระอยู่เท่านั้น พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 16,500บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยยังคงค้างชำระเงินค่าประมูลที่จะต้องวางศาลต่อในปี 2521 อีก 6 เดือน พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยชำระเงิน8,250 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาในคดีแดงที่ 106/2520 ว่า ระหว่างที่เป็นความกันในคดีนั้น โจทก์จำเลยได้ตกลงประมูลเข้าทำสวนยางและนาพิพาทโดยให้นำเงินที่ประมูลได้มาวางศาลจนกว่าคดีจะถึงที่สุดเพื่อให้ฝ่ายชนะคดีรับไป โจทก์เสนอราคาปีละ 16,000 บาทจำเลยเสนอราคาปีละ 16,500 บาทจึงเป็นฝ่ายประมูลได้ ศาลได้จดบันทึกข้อตกลงระหว่างคู่ความไว้ว่าจำเลยจะต้องนำเงิน 16,500 บาทมาวางศาลภายในเดือนพฤษภาคมของทุกปีจนกว่าคดีจะถึงที่สุด สำหรับในปี 2520 นั้นจะนำเงินมาวางศาลภายในเดือนพฤษภาคม 2520 หากผิดนัดยอมให้บังคับคดีได้ทันทีและยอมให้โจทก์เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทในปีถัดไปโดยนำเงินมาวางศาลปีละ 16,000 บาทตามที่โจทก์เสนอไว้จนกว่าคดีจะถึงที่สุดในเงื่อนไขและเวลาอย่างเดียวกัน หลังจากนั้นจำเลยได้นำเงินค่าเข้าทำประโยชน์ในปี 2520มาวางศาลไว้เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2520 ต่อมาวันที่ 7 กันยายน 2521 จำเลยยื่นคำร้องว่าไม่ประสงค์จะเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทต่อไป ขอให้เรียกโจทก์มาทำความตกลง โจทก์คัดค้านว่าตามข้อตกลงจำเลยมีหน้าที่ต้องวางเงินทุกปีจนกว่าคดีจะถึงที่สุด จะเลิกสัญญาระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุดไม่ได้ ศาลชั้นต้นไม่ได้มีคำสั่งชี้ขาดอย่างใด คงบันทึกไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาว่าได้ฟ้องเป็นคดีใหม่แล้ว คู่ความจะไปว่ากล่าวกันในคดีใหม่ต่อไป

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามข้อตกลงที่ศาลบันทึกไว้ในรายงานกระบวนพิจารณามีข้อความชัดว่าฝ่ายที่ประมูลได้จะต้องนำเงินมาวางศาลภายในเดือนพฤษภาคมของทุกปีจนกว่าคดีจะถึงที่สุด จำเลยซึ่งเป็นฝ่ายประมูลได้จึงต้องปฏิบัติตามสัญญาทุกปีจนกว่าคดีจะถึงที่สุด คดีระหว่างโจทก์จำเลยได้ถึงที่สุดโดยเพิ่งอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2523 จำเลยจึงต้องชำระเงินค่าเข้าทำประโยชน์ในปี 2521, 2522 และ 2523 เป็นเงินปีละ 16,500 บาทตามข้อตกลง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจบังคับให้จำเลยเข้าทำประโยชน์นั้น เห็นว่าคดีนี้โจทก์ไม่ได้บังคับให้จำเลยเข้าทำประโยชน์ แต่บังคับให้จำเลยเสียค่าประมูลการเข้าทำประโยชน์ตามที่ตกลงไว้ต่างหาก เมื่อจำเลยตกลงจ่ายค่าประมูลการเข้าทำประโยชน์โดยศาลได้จดบันทึกข้อตกลงของจำเลยไว้ประการใด ข้อตกลงนั้นย่อมมีผลบังคับได้ ส่วนที่ข้อตกลงนั้นมีเงื่อนไขไว้ด้วยว่า หากจำเลยผิดนัดยอมให้โจทก์เข้าทำประโยชน์โดยนำเงินมาวางศาลปีละ 16,000 บาท นั้น เป็นเงื่อนไขบังคับไว้ในกรณีที่จำเลยผิดนัดสำหรับค่าประมูลในปีเริ่มต้นคือในปี 2520 นั้นเอง แต่ปรากฏว่าจำเลยได้ชำระค่าประมูลในปี 2520 แล้ว ปัญหาที่โจทก์จะเข้าทำประโยชน์เสียเองในที่พิพาทจึงหมดไปเมื่อจำเลยเป็นฝ่ายประมูลได้และชำระค่าประมูลในปี 2520 ซึ่งเป็นปีเริ่มแรกแล้วก็มีหน้าที่ต้องชำระค่าประมูลสำหรับปีถัดไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุด

ที่โจทก์ฎีกาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเพิ่มขึ้นเป็น 90,000 บาท โดยรวมค่าเสียหายที่โจทก์ต้องเสียค่าจ้างทนายความ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตลอดจนการที่จำเลยทำให้ต้นยางของโจทก์เสียหายนั้น โจทก์มิได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายเกี่ยวกับค่าเสียหายเหล่านี้มาโดยชัดแจ้งในฎีกาว่า ศาลล่างพิพากษามาโดยไม่ชอบอย่างไรโดยเฉพาะโจทก์มิได้กล่าวมาโดยชัดแจ้งตั้งแต่ในชั้นอุทธรณ์จนศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้มาแล้ว ดังนั้นฎีกาของโจทก์ส่วนนี้จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าประมูลการเข้าทำประโยชน์ในปี 2521, 2522, 2523 รวมเป็นเงิน 48,000 บาท เท่าที่โจทก์ขอมาพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share