คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6121/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ก่อนถึงวันนัดฟังคำสั่งศาลฎีกาเรื่องการขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกาของจำเลยที่ 1 ทนายจำเลยที่ 1 ได้แถลงให้ศาลชั้นต้นทราบว่าจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายแล้ว ในกรณีเช่นนี้ ศาลชั้นต้นจะต้องสอบข้อเท็จจริงให้แน่ชัดว่าจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายจริงหรือไม่ และหากเป็นความจริงก็ถือว่าจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ศาลชั้นต้นจะต้องจัดให้มีผู้เข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 42 เสียก่อน การที่ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งศาลฎีกาดังกล่าวโดยมิได้ดำเนินการตามบทบัญญัติดังกล่าวจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 และการที่ทนายจำเลยที่ 1 มิได้ดำเนินการใด ๆ เพื่อขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าวภายในกำหนดเวลา 8 วัน นับแต่วันทราบเรื่องผิดระเบียบ แต่กลับยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลานำเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกามาวางต่อศาลชั้นต้นตามคำสั่งศาลฎีกาแทนจำเลยที่ 1 นั้นก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำของจำเลยที่ 1 ตัวการ เพราะการกระทำดังกล่าวมิใช่การดำเนินคดีไปในทางปกปักรักษาประโยชน์ของตัวการตาม ป.พ.พ. มาตรา 828 แต่เป็นการกระทำที่มีผลทำให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคู่ความฝ่ายที่เสียหายเสียสิทธิที่จะยกข้อคัดค้านเรื่องผิดระเบียบดังกล่าวขึ้นกล่าวอ้างในภายหลังตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 วรรคสอง เมื่อทนายจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาแทนจำเลยที่ 1 การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินตามขอก็ดี และต่อมามีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเพราะเหตุจำเลยที่ 1 ทิ้งฟ้องฎีกาเนื่องจากไม่นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายก็ดี จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบไปด้วย ศาลฎีกาเห็นสมควรเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าวแล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ให้ถูกต้อง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 9,853,511.61 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงิน 9,283,288.78 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 570,222.83 บาท หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบ หากไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบ กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 20,000 บาท จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 600 บาท แทนโจทก์ จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง หากจำเลยที่ 1 ประสงค์จำดำเนินคดีต่อไปให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระภายใน 15 วัน จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา
ระหว่างนัดฟังคำสั่งศาลฎีกา ทนายจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายแล้วเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2546 ทนายจำเลยที่ 1 จึงหมดหน้าที่การเป็นทนายความของจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นสั่งรวม
ในวันนัดฟังคำสั่งศาลฎีกาวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2547 โจทก์มาศาลฝ่ายเดียว ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งศาลฎีกาให้โจทก์ฟัง และถือว่าได้อ่านคำสั่งศาลฎีกาให้จำเลยที่ 1 ฟังตามกฎหมายแล้ว โดยศาลฎีกามีคำสั่งยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ 1 หากจำเลยที่ 1 ยังติดใจฎีกาให้นำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง
ทนายจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียม 3 ครั้ง โดยอ้างเหตุทำนองเดียวกันว่า กำลังดำเนินการให้ทายาทของจำเลยที่ 1 เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลาทั้งสามครั้งโดยครั้งสุดท้ายอนุญาตถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2547 แต่ไม่มีการวางเงินภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2547 ว่าจำเลยที่ 1 ทิ้งฎีกา ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
วันที่ 21 มิถุนายน 2547 ผู้ร้องยื่นคำร้องอ้างว่า ผู้ร้องเป็นบุตรของจำเลยที่ 1 ขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 และขอให้เพิกถอนการอ่านคำสั่งศาลฎีกาของศาลชั้นต้นกับคำสั่งว่าจำเลยที่ 1 ทิ้งฟ้องฎีกาเพราะเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบเนื่องจากศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งศาลฎีกาทั้งที่ทราบว่าจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายไปแล้ว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า การเข้าเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะต้องเป็นกรณีคดีค้างพิจารณาอยู่ในศาลใดศาลหนึ่งซึ่งคดีนั้นจะต้องยังไม่ถึงที่สุด เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 1 มิได้นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลภายในกำหนดระยะเวลาที่ศาลอนุญาต ถือว่าจำเลยที่ 1 ทิ้งฟ้องฎีกา ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความไปแล้วคดีจึงถึงที่สุด ทายาทของจำเลยที่ 1 ไม่อาจร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 ผู้มรณะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42 ได้ เมื่อทายาทของจำเลยที่ 1 ไม่อาจเข้าเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะได้แล้วก็มิอาจร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตามคำร้องดังกล่าวได้ ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา (ที่ถูกอุทธรณ์)
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า มีเหตุที่จะเพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นนับแต่อ่านคำสั่งศาลฎีกาหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า ก่อนถึงวันนัดฟังคำสั่งศาลฎีกาเรื่องการขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกาของจำเลยที่ 1 ทนายจำเลยที่ 1 ได้แถลงให้ศาลชั้นต้นทราบว่าจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายแล้ว ในกรณีเช่นนี้ศาลชั้นต้นจะต้องสอบข้อเท็จจริงให้แน่ชัดว่าจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายจริงหรือไม่ และหากเป็นความจริงก็ถือว่าจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ศาลชั้นต้นจะต้องจัดให้มีผู้เข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42 เสียก่อน การที่ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งศาลฎีกาดังกล่าวโดยมิได้ดำเนินการตามบทบัญญัติดังกล่าวจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 และการที่ทนายจำเลยที่ 1 มิได้ดำเนินการใด ๆ เพื่อขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าวภายในกำหนดเวลา 8 วัน นับแต่วันทราบเรื่องผิดระเบียบ แต่กลับยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลานำเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกามาวางต่อศาลชั้นต้นตามคำสั่งศาลฎีกาแทนจำเลยที่ 1 นั้น ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำของจำเลยที่ 1 ตัวการ เพราะการกระทำดังกล่าวมิใช่การดำเนินคดีไปในทางปกปักรักษาประโยชน์ของตัวการ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 828 แต่เป็นการกระทำที่มีผลทำให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคู่ความฝ่ายที่เสียหายเสียสิทธิที่จะยกข้อคัดค้านเรื่องผิดระเบียบดังกล่าวขึ้นกล่าวอ้างในภายหลัง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคสอง เมื่อทนายจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาแทนจำเลยที่ 1 การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินตามขอก็ดี และต่อมามีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเพราะเหตุจำเลยที่ 1 ทิ้งฟ้องฎีกาเนื่องจากไม่นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายก็ดี จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบไปด้วย ศาลฎีกาเห็นสมควรเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าว แล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ให้ถูกต้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น”
พิพากษากลับให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นนับแต่การอ่านคำสั่งศาลฎีกาเป็นต้นไป ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 1 ของผู้ร้องแล้วดำเนินการต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share