คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 655/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยแพ้คดีในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ในชั้นฎีกาจำเลยมิได้ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับ กรณีจึงต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 231 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 247 คือการยื่นฎีกาไม่เป็นการทุเลาการบังคับตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ย่อมที่จะขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 278 ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจในฐานะเป็นผู้แทนเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในอันที่จะได้รับชำระหนี้หรือทรัพย์สินที่ลูกหนี้นำมาวางและออกใบรับให้ กับมีอำนาจที่จะยึดหรืออายัดและยึดถือทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาไว้ และมีอำนาจที่จะเอาทรัพย์สินเช่นว่านี้ออกขายทอดตลาด ทั้งมีอำนาจที่จะจำหน่ายทรัพย์สินหรือเงินรายได้จากการนั้น และดำเนินวิธีการบังคับทั่ว ๆ ไปตามที่ศาลได้กำหนดไว้ในหมายบังคับคดี คดีนี้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะจ่ายเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ให้โจทก์ไปจึงเป็นส่วนหนึ่งของการบังคับคดี เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ขอทุเลาการบังคับเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ต้องจ่ายเงินให้โจทก์ไป
การบังคับคดีเป็นอำนาจและหน้าที่ของศาลชั้นต้น ถึงแม้จำเลยที่ 1 ไม่ขอทะเลาการบังคับ ศาลชั้นต้นก็มีอำนาจดำเนินการบังคับคดีไปตามปกติ เช่นจะสั่งงดการบังคับคดีไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292 (2) ก็ทำได้ ซึ่งเป็นดุลพินิจของศาลชั้นต้น

ย่อยาว

มูลกรณีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา แต่มิได้ขอทุเลาการบังคับ คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์บังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ ขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นงดการจ่ายเงินแก่โจทก์เพื่อรอฟังผลคดีถึงที่สุดโดยอ้างว่า ถ้าให้โจทก์ได้รับเงินไป เมื่อในที่สุดศาลฎีกาพิพากษากลับให้จำเลยชนะคดีจะทำให้จำเลยเสียหาย
ศาลชั้นต้นนัดพร้อมแล้วมีคำสั่งให้งดการจ่ายเงินแก่โจทก์ไว้ก่อนจนกว่าศาลฎีกาจะมีคำพิพากษา เว้นแต่โจทก์จะหาหลักทรัพย์หรือบุคคลมาค้ำประกันต่อศาลจึงจะพิจารณาจ่ายต่อไป โจทก์นำบุคคลพร้อมด้วยหลักทรัพย์มาเป็นหลักประกันการรับเงินต่อศาล ศาลชั้นต้นเห็นว่าหลักทรัพย์ที่โจทก์แสดงมีราคาสูงกว่าจำนวนเงินที่โจทก์ขอรับ จึงขออนุญาตให้โจทก์รับเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดไปได้โดยให้โจทก์จัดการให้ผู้เป็นเจ้าของหลักทรัพย์ทำสัญญาประกันความเสียหายไว้ต่อศาล
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้จำเลยทั้งสองแพ้คดีทั้งในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ในชั้นฎีกาจำเลยมิได้ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับ กรณีจึงต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๓๑ วรรคแรกประกอบด้วยมาตรา ๒๔๗ คือการยื่นฎีกาไม่เป็นการทุเลาการบังคับตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โจทก์ย่อมที่จะขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗๘ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจในฐานเป็นผู้แทนเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในอันที่จะได้รับชำระหนี้หรือทรัพย์สินที่ลูกหนี้นำมาวางและออกใบรับให้ กับมีอำนาจที่จะยึดหรือาอยัดและยึดถือทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาไว้ และมีอำนาจที่จะเอาทรัพย์สินเช่นว่านี้ออกขายทอดตลาด ทั้งมีอำนาจที่จะจำหน่ายทรัพย์สินหรือเงินรายได้จากการนั้น และดำเนินวิธีการบังคับทั่ว ๆ ไปตามที่ศาลได้กำหนดไว้ในหมายบังคับคดี คดีนี้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ ขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะจ่ายเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ ให้โจทก์ไปจึงเป็นส่วนหนึ่งของการบังคับคดี เมื่อจำเลยที่ ๑ ไม่ขอทุเลาการบังคับ เจ้าพนักงานบังคับคดีก็ต้องจ่ายเงินให้โจทก์ไป แต่การบังคับคดีเป็นอำนาจและหน้าที่ของศาลชั้นต้น ถึงแม้จำเลยที่ ๑ จะไม่ขอทุเลาการบังคับ ศาลชั้นต้นก็มีอำนาจดำเนินการบังคับคดีไปตามปกติ เช่นจะสั่งงดการบังคับคดีไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๒ (๒) ก็ทำได้ ซึ่งเป็นดุลพินิจของศาลชั้นต้น คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์รับเงินที่ขายทอดตลาดส่วนหนึ่งไปจากศาลได้ โดยให้โจทก์ทำสัญญาประกันและวางหลักทรัพย์เกินกว่าจำนวนเงินที่โจทก์จะขอรับไปจากศาล จึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่เป็นผลดีแก่จำเลยที่ ๑ แล้ว
พิพากษายืน

Share