แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ. 2494 มาตรา69 วรรคแรกบัญญัติว่า “ก่อนที่ศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีเด็กและเยาวชนจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีแพ่งให้ศาลฟังความเห็นของผู้อำนวยการสถานพินิจหรือคณะกรรมการพินิจและคุ้มครองเด็กที่ผู้เยาว์นั้นอยู่ในเขตอำนาจก่อน ฯลฯ” คำว่า คำพิพากษาหรือคำสั่งที่บัญญัติไว้ในมาตราดังกล่าวหาได้หมายถึงคำสั่งที่ศาลสั่งในระหว่างการพิจารณาไม่ ศาลจึงมีคำสั่งกำหนดวิธีการคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างการพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคำพิพากษาโดยปราศจากรายงานของเจ้าพนักงานคุมประพฤติได้
โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ถอนอำนาจปกครองเด็กโดยให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองและให้จำเลยส่งมอบเด็กคืนแก่โจทก์การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลยส่งมอบเด็กให้โจทก์ในระหว่างการพิจารณา จึงเกี่ยวกับประโยชน์ของโจทก์ที่มีอยู่ในคดี โจทก์จึงมีสิทธิร้องขอได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 และคำร้องของโจทก์ดังกล่าวไม่ขัดกับคำฟ้อง
ย่อยาว
กรณีเรื่องนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 เป็นมารดาของจำเลยที่ 1 เด็กชายคธาพันธุ์เป็นบุตรโจทก์กับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ประพฤติตนไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองและพรากเด็กชายคธาพันธุ์ไปไว้ที่บ้านจำเลยที่ 2 ขอให้ศาลพิพากษาถอนอำนาจปกครองเด็กชายคธาพันธุ์ที่อยู่กับจำเลยที่ 1 และให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองแต่ผู้เดียวให้จำเลยทั้งสองส่งมอบเด็กชายคธาพันธุ์คืนแก่โจทก์พร้อมกับคำฟ้องดังกล่าว โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างพิจารณาคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 โดยให้จำเลยทั้งสองส่งมอบเด็กชายคธาพันธุ์คืนให้โจทก์เป็นผู้อุปการะดูแลในระหว่างการพิจารณาคดีจนกว่ามีคำพิพากษาถึงที่สุด
จำเลยทั้งสองคัดค้านว่า คดีที่โจทก์ฟ้องเป็นคดีเกี่ยวด้วยสิทธิในครอบครัวหาใช่คดีเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องหรือประโยชน์ใด ๆ ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 ไม่ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลคดีเด็กและเยาวชนกลางไต่สวนคำร้องแล้ว เห็นว่าคำฟ้องที่ผู้ร้องยื่นและโอกาสที่ยื่นคำขอมีเหตุสมควรเพียงพอที่จะนำวิธีคุ้มครองตามที่ขอนั้นมาใช้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 มีคำสั่งให้จำเลยส่งตัวเด็กชายคธาพันธุ์ให้โจทก์ปกครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเด็กและเยาวชนพิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเด็กและเยาวชนวินิจฉัยข้อกฎหมายว่าตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ. 2494 มาตรา 69 วรรคแรกบัญญัติว่า “ก่อนที่ศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีเด็กและเยาวชนจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีแพ่ง ให้ศาลฟังความเห็นของผู้อำนวยการสถานพินิจหรือคณะกรรมการพินิจและคุ้มครองเด็กที่ผู้เยาว์นั้นอยู่ในเขตอำนาจก่อน ฯลฯ”เห็นว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งที่บัญญัติไว้ในมาตราดังกล่าวหาได้หมายถึงคำสั่งที่ศาลสั่งในระหว่างพิจารณาไม่ ดังนั้น ที่ศาลคดีเด็กและเยาวชนกลางมีคำสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างการพิจารณาเพื่อบังคับตามคำพิพากษาโดยปราศจากรายงานของเจ้าพนักงานคุมประพฤติจึงหาเป็นการไม่ชอบไม่
ที่จำเลยฎีกาว่าคำร้องของโจทก์ไม่เกี่ยวกับการคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 นั้น เห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ถอนอำนาจปกครองเด็กชายคธาพันธุ์จากจำเลยที่ 1 โดยให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กชายคธาพันธุ์แต่ผู้เดียว และขอบังคับให้จำเลยทั้งสองส่งมอบเด็กชายคธาพันธุ์คืนให้แก่โจทก์ด้วย ผลของคดีย่อมเห็นได้ว่าถ้าโจทก์ชนะคดี จำเลยทั้งสองจะต้องส่งมอบเด็กชายคธาพันธุ์คืนให้โจทก์ตามคำขอฉะนั้นการที่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสองส่งมอบเด็กชายคธาพันธุ์คืนให้โจทก์ ในระหว่างการพิจารณาจึงเกี่ยวกับประโยชน์ของโจทก์ที่มีอยู่ในคดีในอันที่จะพึงต้องให้ศาลสั่งกำหนดวิธีการคุ้มครองในระหว่างการพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคำพิพากษา ซึ่งโจทก์มีสิทธิร้องขอได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 คำร้องของโจทก์ดังกล่าวหาขัดกับคำฟ้องไม่
ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยสามารถเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ได้ดีกว่าโจทก์นั้นเป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณากันในชั้นพิจารณาต่อไป พิพากษายืน