แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การร้องขัดทรัพย์ถือเสมือนหนึ่งว่าเป็นการฟ้องคดีซึ่งเริ่มด้วยการยื่นคำร้องขอต้องเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ที่เรียกร้อง คือ ตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีตีราคาไว้ ไม่ใช่เสียตามทุนทรัพย์ที่โจทก์จะได้รับชำระหนี้จากจำเลย และแม้ทรัพย์นั้นจะติดจำนองอยู่ ก็ต้องเสียค่าขึ้นศาลเต็มราคา จะหักหนี้จำนองออกก่อนไม่ได้
ย่อยาว
คดีนี้ ศาลพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 111,000 บาทแก่โจทก์ จำเลยไม่ชำระโจทก์จึงนำยึดที่ดินของจำเลยที่ 2 เพื่อขายทอดตลาดเจ้าพนักงานยึดทรัพย์ตีราคาที่ดิน 1,184,000 บาท
ผู้ร้องยื่นคำร้องขัดทรัพย์ โดยเสียค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์ 111,000 บาทเท่าที่จำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นสั่งให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลตามราคาที่ดินที่ร้องขัดทรัพย์ ผู้ร้องไม่ยอมเสีย จึงสั่งยกคำร้อง จำหน่ายคดี
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การร้องขัดทรัพย์นั้นถือเสมือนหนึ่งว่าเป็นการฟ้องคดีซึ่งเริ่มด้วยการยื่นคำร้องขอตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ที่เรียกร้อง คือตามราคาที่ดินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีตีราคาไว้ ผู้ร้องจะถือเอาทุนทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องมาเป็นหลักสำหรับเสียค่าขึ้นศาลในเรื่องร้องขัดทรัพย์หาได้ไม่เพราะการร้องขัดทรัพย์นั้นเป็นอีกคดีหนึ่งต่างหากจากคดีเดิม และแม้ที่ดินรายนี้จะติดจำนองที่ดินก็ยังเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องอยู่ ผู้ร้องจะขอให้หักหนี้จำนองออกเพื่อไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลในเงินจำนวนนี้ไม่ได้ เพราะไม่เกี่ยวกับทุนทรัพย์ในเรื่องการร้องขัดทรัพย์แต่อย่างใด ส่วนที่โจทก์ยึดทรัพย์มีราคามากเกินกว่าที่โจทก์ชนะคดีนั้น ก็เป็นเรื่องระหว่างโจทก์จำเลย หาเกี่ยวกับผู้ร้องไม่
พิพากษายืน