แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยนำภาพของโจทก์ลงพิมพ์ที่หน้าปกของหนังสือพิมพ์รายวันเสียงปวงชนรวมกับภาพอื่นซึ่งมีอยู่ทั้งหมดประมาณ 20 ภาพเศษ นอกจากภาพบุคคลแล้วยังมีภาพไฟไหม้อาคาร ภาพเครื่องบินชนโรงงาน และภาพงานพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ทุกภาพไม่มีข้อความอธิบายเหตุการณ์หรือบอกชื่อบุคคลในภาพนั้นแต่อย่างใด คงมีแต่ข้อความซึ่งพิมพ์ด้วยอักษรภาษาไทย ขนาดตัวโตขวางทับอยู่กลางหน้ากระดาษว่า “ภาพเหตุการณ์ในรอบปี” เท่านั้น และภาพโจทก์ที่นำลงพิมพ์ไว้นั้น จัดวางไว้ทางตอนบนของหน้ากระดาษเป็นภาพครึ่งตัวส่วนบนแต่งกายเรียบร้อย สวมเสื้อนอก มีผ้าผูกคอ ผิดกับภาพบุคคลอื่น ๆ และเป็นภาพของโจทก์เดี่ยว ๆ เป็นเอกเทศ แม้จะมีภาพผู้ต้องหาหรือผู้กระทำผิดในคดีอาญาที่ร้ายแรงพิมพ์รวมอยู่รอบ ๆ ภาพของโจทก์ด้วยก็ตาม แต่ขณะเกิดเหตุโจทก์เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง จึงน่าจะเป็นการเสนอภาพ เพื่อให้ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบพิจารณา ไม่พอที่จะชี้ให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาดูหมิ่นโจทก์ อันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 393
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ บังอาจร่วมกันนำภาพโจทก์ลงพิมพ์โฆษณารวมอยู่กับผู้ต้องหาและผู้กระทำผิดทางอาญาอุกฉกรรจ์ในหนังสือพิมพ์รายวันเสียงปวงชน เพื่อที่จะให้ประชาชนทั่วไปมีความรู้สึกว่า โจทก์เป็นบุคคลจำพวกเดียวกับผู้ต้องหาและกระทำความผิดดังกล่าวนั้น จำเลยทั้งสองมีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ ร่วมกันใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง เป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาทโจทก์โดยการโฆษณา ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๓๒๖, ๓๒๘, ๓๙๓ พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๔, ๔๘
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว มีคำสั่งประทับฟ้องเฉพาะความผิดฐานดูหมิ่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๓
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๓ พระราชบัญัติการพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๔, ๔๘ จำคุก ๑ เดือน และปรับ ๑,๐๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอไว้ ๑ ปี ยกฟ้องจำเลยที่ ๒
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ ๑ นำภาพโจทก์มาลงพิมพ์ไว้ตามที่โจทก์ฟ้อง ยังไม่เพียงพอที่จะฟังว่าเป็นเหตุที่ทำให้ผู้พบเห็นหรือผู้อ่านหนังสือพิมพ์เข้าใจไปว่าโจทก์เป็นบุคคลพวกเดียวกันกับอาชญากร และรับฟังไม่ได้ด้วยว่าจำเลยที่ ๑ กระทำไปโดยมีเจตนาดูหมิ่นโจทก์ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า หนังสือพิมพ์เสียงปวงชนฉบับวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๒๐ ฉบับพิพาทซึ่งเป็นฉบับพิเศษครบรอบ ๓ ขวบของหนังสือพิมพ์ดังกล่าว มีจำเลยที่ ๑ เป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์โฆษณา ได้ลงพิมพ์ภาพบุคคลและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่แผ่นหน้าปกเต็มหน้าโดยมีภาพโจทก์ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรวมอยู่ด้วย และวินิจฉัยว่าพิเคราะห์ภาพต่าง ๆ ในแผ่นหน้าปกหนังสือพิมพ์ฉบับพิพาทแล้ว ปรากฏว่ามีทั้งหมดประมาณ ๒๐ ภาพเศษ นอกจากภาพบุคคลซึ่งรวมทั้งภาพโจทก์และภาพเจ้าพนักงานตำรวจแล้ว ยังมีภาพไฟไหม้อาคาร ภาพเครื่องบินชนโรงงาน และภาพงานพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ทุกภาพไม่มีข้อความอธิบายเหตุการณ์หรือบอกชื่อบุคคลในภาพนั้นแต่อย่างใด คงมีแต่ข้อความซึ่งพิมพ์ด้วยอักษรภาษาไทยขนาดโตขวางทับอยู่กลางหน้ากระดาษว่า “ภาพเหตุการณ์ในรอบปี” เท่านั้น เห็นว่าภาพโจทก์ที่นำลงพิมพ์ไว้นั้นจัดวางไว้ทางตอนบนของหน้ากระดาษเป็นภาพครึ่งตัวส่วนบน อยู่ในสภาพที่แต่งกายเรียบร้อย สวมเสื้อนอกมีผ้าผูกคอ ผิดกับภาพบุคคลอื่น ๆ ทั้งหมดและเป็นภาพของโจทก์เดี่ยว ๆ เป็นเอกเทศ แม้จะมีภาพของผู้ต้องหาหรือผู้กระทำผิดในคดีอาญาที่ร้ายแรงพิมพ์รวมอยู่รอบ ๆ ภาพของโจทก์ด้วยก็ตาม ซึ่งภาพดังกล่าวทำให้โจทก์เข้าใจว่าเป็นการเสื่อมเสียชื่อเสียง แต่ขณะเกิดเหตุโจทก์เป็นรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองจึงน่าจะเป็นการเสนอภาพเพื่อให้ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบพิจารณา ไม่มีเจตนาดูหมิ่นโจทก์
พิพากษายืน