แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานฉ้อโกงกับขอให้คืนเงินที่จำเลยได้ไป จากการฉ้อโกงแก่ผู้เสียหาย เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่ามิใช่เป็นเรื่องฉ้อโกงแต่เป็นเรื่องผู้เสียหายและจำเลยสมัครใจเล่นแชร์ต่อกัน ซึ่งเป็นเรื่องความรับผิดทางแพ่งล้วนๆ หาใช่เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาไม่ ดังนี้ เงินที่ผู้เสียหายชำระค่าแชร์ให้แก่จำเลยไปจึงมิใช่ทรัพย์สินที่ผู้เสียหายสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิด พนักงานอัยการไม่มีสิทธิที่จะเรียกเงินเช่นนี้แทนผู้เสียหายได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอายา มาตรา 43
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายว่ามีการจัดตั้งวงแชร์ขึ้นขอให้ผู้เสียหายทั้งแปดคนเข้าร่วมเล่นแชร์ด้วย ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงได้ร่วมเล่นแชร์กับจำเลย ได้ส่งเงินให้จำเลยไปแล้วหลายงวดเป็นเงิน ๒๒๓,๘๐๐ บาท เมื่อผู้เสียหายคนหนึ่งเปียแชร์ได้ จำเลยกลับปฏิเสธไม่รับรู้การเล่นแชร์ ผู้เสียหายทวงถามเงินที่ได้ส่งไปแล้วจำเลยปฏิเสธไม่ยอมคืนให้ เหตุเกิดที่ตำบลปรอก อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑ และขอให้จำเลยคืนเงินร่วม ๒๒๓,๘๐๐ บาท แก่ผู้เสียหายทั้งแปดด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธและต่อสู้ว่าฟ้องเคลือบคลุม ไม่ครบองค์ประกอบความผิดเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุมและเป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายแต่การเล่นแชร์เปียหวยเป็นสัญญาชนิดหนึ่งซึ่งนายวงแชร์ได้ให้สัญญาแก่ลูกวงว่าเมื่อลูกวงเปียได้แล้วจะจ่ายเงินคืนให้พร้อมทั้งดอกเบี้ย เมื่อนายวงคือจำเลยไม่จ่ายให้ตามสัญญา จึงเป็นเรื่องผิดสัญญาในทางแพ่งเท่านั้น จำเลยไม่มีความผิดทางอาญาดังฟ้องโจทก์ แต่จำเลยซึ่งเป็นนายวงได้รับเงินจากผู้เสียหายทั้งแปดคนไปตามฟ้องจริง มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบใช้เงินคืนแก่ผู้เสียหายพิพากษายกฟ้อง แต่ให้จำเลยคืนเงินให้ผู้เสียหายทั้งแปดรวมเป็นเงิน ๒๒๓,๘๐๐ บาท
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และไม่สมบูรณ์ตามมาตรา ๑๕๘ (๕) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคามอาญา และการที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่ผู้เสียหายทั้งแปดเป็นการไม่ชอบขอให้ยกฟ้องโจทก์ไปทั้งสิ้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าอุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๓ ทวิ ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้ ส่วนอุทธรณ์ของจำเลยวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม และเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยคืนเงินแก่ผู้เสียหายชอบด้วยกฎหมายแล้ว พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและไม่สมบูรณ์ทั้งขาดอายุความและคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองซึ่งพิพากษาต้องกันให้จำเลยคืนเงินให้แก่ผู้เสียหายทั้งแปดนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ในปัญหาข้อนี้ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยจัดตั้งวงแชร์เปียหวยขึ้น ๒ วง โดยจำเลยเป็นนายวงแชร์ ผู้เสียหายทั้งแปดและคนอื่นๆ อีกหลายคนได้เข้าเป็นลูกวงแชร์ของจำเลย เมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๒๒ นางสังวาลย์ผู้เสียหายเป็นผู้เปียแชร์ได้ จึงไปขอรับเงินที่เปียได้จากจำเลย จำเลยไม่จ่ายให้โดยอ้างว่ายังเก็บเงินจากลูกวงไม่ได้ นางสังวาลย์ผู้เสียหายจึงไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงาน เมื่อเกิดเหตุขึ้นเช่นนี้ผู้เสียหายคนอื่นๆ ซึ่งยังไม่ได้เปียเป็นบางมือจึงขอเงินที่ส่งไปคืนบ้าง จำเลยไม่คืนให้ ซึ่งศาลชั้นต้นฟังว่าเป็นเรื่องผิดสัญญาในศาลแพ่งเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องความผิดอาญา คงมีปัญหาที่จะต้องพิจารณาว่าพนักงานอัยการจะเรียกร้องในกรณีเช่นนี้จากจำเลยแทนผู้เสียหายได้หรือไม่ เห็นว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๕๔๓ คดีที่พนักงานอัยการจะเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหายได้นั้น เฉพาะคดีลักทรัพย์ วิ่งราว ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ โจทก์สลัด กรรโชค ฉ้อโกง ยักยอก หรือรับของโจร ซึ่งผู้เสียหายมีสิทธิที่จะเรียกร้องทรัพย์สินหรือราคาที่เขาสูญหายไปเนื่องจากการกระทำผิดคืนเท่านั้น สำหรับคดีนี้ถึงแม้พนักงานอัยการจะฟ้องจำเลยในข้อหาว่ากระทำผิดฐานฉ้อโกงก็ตาม แต่เมื่อศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องผู้เสียหายและจำเลยสมัครใจเล่นแชร์กัน ซึ่งเป็นเรื่องความรับผิดทางแพ่งล้วนๆ ไม่มีการกระทำอันใดที่จะต้องวินิจฉัยว่าเป็นความผิดทางอาญาหรือไม่เกี่ยวข้องอยู่ด้วยเลย ดังนี้ เห็นได้ว่าเงินที่ผู้เสียหายชำระค่าแชร์ให้แก่จำเลยไปไม่ใช่ทรัพย์สินที่ผู้เสียหายสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิด หากแต่เป็นทรัพย์สินที่ผู้เสียหายส่งมอบให้แก่จำเลยไปตามสัญญาเล่นแชร์ด้วยความสมัครใจ เมื่อผู้เสียหายส่งมอบไปแล้ว เงินจำนวนนั้นก็ตกได้แก่ผู้ที่เปียแชร์ได้ในรอบนั้นๆ กรรมสิทธิ์ในเงินจำนวนนั้นจึงไม่ใช่เป็นของผู้เสียหายอีกต่อไป เมื่อผู้เสียหายเปียแชร์ได้ เงินที่ผู้เสียหายจะได้รับคือเงินที่จำเลยซึ่งเป็นวงแชร์เรียกเก็บจากลูกวง หรือเงินที่จำเลยจะต้องชำระแทนลูกวงที่ยังเก็บไม่ได้ และจะต้องมีการหักดอกเบี้ย ส่วนผู้เสียหายอีก ๗ คน ซึ่งยังเปียร์แชร์ไม่ได้เป็นบางมือก็ยังมีปัญหาที่จะต้องพิจารณาต่อไปอีกว่าจะมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยใช้เงินได้แล้วหรือยัง และจะเรียกร้องได้เพียงใดเป็นต้น จึงกลายเป็นคดีแพ่งล้วนๆ หาใช่เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาไม่ ดังนี้ พนักงานอัยการจึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกเงินเช่นนี้แทนผู้เสียหายได้ คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๐๓๙/๒๕๑๖ และคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๖๕๗/๒๕๒๐ ที่ศาลอุทธรณ์อ้างมานั้นข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ กล่าวคือตามคำพิพากษาดังกล่าว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเอาทรัพย์สินของผู้เสียหายไปโดยไม่ชอบจริง เพียงแต่การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด เพราะจำเลยไม่มีเจตนาทุจริตคำขอคืนทรัพย์ของโจทก์ในคดีดังกล่าวเห็นได้ว่าเป็นคำขอส่วนแบ่งที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำของจำเลยที่คืนเงินแก่ผู้เสียหายทั้งแปดมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยให้ปัญหาข้อนี้ฟังขึ้น เมื่อได้วินิจฉัยปัญหาข้อนี้ให้เป็นคุณแก่จำเลยดังกล่าวแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยปัญหาข้ออื่นๆ อีกต่อไป
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ที่ขอให้จำเลยคืนเงินแก่ผู้เสียหายทั้งแปดนั้นเสีย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์