คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6521/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2532 บัญญัติไว้ชัดเจนว่าให้เวนคืนที่ดินภายในแนวเขตตามแผนที่และบัญชีรายชื่อท้ายพระราชบัญญัติเท่านั้น การที่ จำเลยที่ 4 นำชี้แนวเขตเข้าไปในที่ดินของโจทก์ทั้งสอง เกินกว่ารูปแผนที่และจำนวนเนื้อที่ของที่ดินซึ่งระบุไว้ ในบัญชีรายชื่อเจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดิน ซึ่งต้องเวนคืน แม้จะยังอยู่ในระยะ 240 เมตร ตามที่ พระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงแผ่นดิน สายคลองตัน-หนองงูเห่า พ.ศ. 2522 กำหนดไว้ ก็จะถือว่าที่ดินส่วนซึ่งจำเลยที่ 4 นำชี้เพิ่มถูกเวนคืนด้วยไม่ได้ จำเลยทั้งสี่ไม่มีสิทธิเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินส่วนนี้ ศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยคดีของโจทก์ทั้งสองว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินที่ถูกเวนคืนจำเลยทั้งสี่ไม่มีสิทธิเข้าไปยึดถือครอบครอง ซึ่งหลังจากนั้นไม่ปรากฏว่าฝ่ายจำเลยเข้าครอบครองหรือดำเนินการก่อสร้างทางในที่ดินพิพาท แสดงว่า โจทก์ทั้งสองมิได้สูญเสียที่ดินพิพาทไป โจทก์ทั้งสองจึง มิได้รับความเสียหายเป็นจำนวนเท่ากับราคาที่ดินซึ่งโจทก์ ทั้งสองทำสัญญาจะซื้อจะขายกับบุคคลภายนอก จำเลยทั้งสี่ ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสอง

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า ที่ดินของโจทก์ทั้งสองถูกเวนคืนตามบัญชีรายชื่อเจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินที่ต้องเวนคืนท้ายพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว เนื้อที่ 3 ไร่64 ตารางวา จำเลยที่ 4 ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นนายช่างแขวงการทางกรุงเทพมหานครของจำเลยที่ 2 โดยเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้บุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ทั้งสองโดยจำเลยที่ 4 กับพวกได้ชี้เขตเวนคืนที่ดินและปักหลักไว้ในที่ดินโฉนดเลขที่ 6395 ทุกจุด แล้วให้นายประหยัด เหมือนฉาย ช่างรังวัดของสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาลาดกระบังกับพวกฝังหมุดหลักเขตที่ดินแสดงเขตเวนคืนเกินขอบเขตที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2532 ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเส้นสีน้ำเงิน เนื้อที่ 3 ไร่ 1 งาน 49 ตารางวานอกจากนี้ยังปรากฏว่าที่ดินที่นายประหยัดทำการรังวัดและปักหมุดตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2532ไว้เป็นเนื้อที่ 3 ไร่ 89 ตารางวา เกินกว่าเนื้อที่ที่ถูกเวนคืน25 ตารางวา รวมเป็นเนื้อที่ 3 ไร่ 1 งาน 74 ตารางวา การกระทำดังกล่าวทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายขอให้ห้ามมิให้จำเลยทั้งสี่และบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ทั้งสองตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง ถ้าจำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติหรือไม่สามารถปฏิบัติได้ ให้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงิน 18,892,500 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสี่ให้การในทำนองเดียวกันว่า บริเวณที่ดินของโจทก์ทั้งสองที่จำเลยที่ 4 นำชี้ฝังหมุดแสดงแนวเขตที่ดินเป็นแนวเขตที่ดินของโจทก์ทั้งสองที่ถูกเวนคืนตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2532 และไม่ได้กระทำเกินเนื้อที่ซึ่งถูกเวนคืน ตามบัญชีรายชื่อเจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินที่ต้องเวนคืนท้ายพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฯ เป็นการระบุจำนวนเนื้อที่โดยประมาณและใกล้เคียงกับความเป็นจริงเพื่อการคำนวณเงินค่าทดแทน ส่วนที่ดินที่ถูกเวนคืนจะทราบจำนวนเนื้อที่แน่นอนเมื่อเจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดตรวจสอบแนวเขตแล้วหากที่ดินของโจทก์ทั้งสองที่ถูกเวนคืนมีเนื้อที่เพิ่มขึ้นโจทก์ทั้งสองชอบที่จะได้รับเงินค่าทดแทนตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมกำหนดให้แก่โจทก์ทั้งสองตารางวาละ 300 บาท ตามที่โจทก์ทั้งสองได้ยอมรับค่าทดแทนในอัตราดังกล่าวแล้ว โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายและดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสี่ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงิน4,061,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ยกฟ้องจำเลยที่ 3 และที่ 4คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 18,892,500 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า “ประเด็นข้อแรกจำเลยทั้งสี่นำชี้ที่ดินของโจทก์ทั้งสองเกินกว่าที่ถูกเวนคืนตามกฎหมายหรือไม่เพียงใด จำเลยทั้งสี่ฎีกาว่าจำนวนเนื้อที่ที่ถูกเวนคืนซึ่งกำหนดตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2532 เป็นการคำนวณโดยสังเขป เนื่องจากพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงแผ่นดิน สายคลองตัน-หนองงูเห่า พ.ศ. 2522 กำหนดแนวทางไว้กว้างถึง 240 เมตร แต่แนวเขตที่สำรวจจะมีแนวศูนย์กึ่งกลางเป็นหลักวัดออกไปข้างละ 40 เมตร ดังนั้น เมื่อออกพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์แล้วเจ้าของที่ดินที่ถูกเวนคืน เจ้าพนักงานที่ดินและเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 2 จะต้องร่วมกันไปรังวัดกำหนดแนวเขตที่แน่นอนอีกครั้งหนึ่งซึ่งจำเลยที่ 4 ได้นำชี้แนวเขตตามแผนที่แนวทางและระดับของจำเลยที่ 2 ตามเอกสารหมาย ล.9 ถึง ล.11 ซึ่งอยู่ในระยะ 240 เมตร ตามพระราชกฤษฎีกาฯ การคำนวณเนื้อที่ดินที่ถูกเวนคืนซึ่งระบุไว้ในบัญชีรายชื่อเจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินที่ต้องเวนคืนท้ายพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฯเป็นการคำนวณโดยประมาณ เมื่อการนำชี้ยังอยู่ในระยะ 240 เมตรและปรากฏว่าที่ดินของโจทก์ทั้งสองจะต้องถูกเวนคืนเพิ่มอีก3 ไร่ 1 งาน 74 ตารางวา ก็ต้องถือว่าส่วนที่เกินนั้นถูกเวนคืนโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่าโจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสี่แถลงรับข้อเท็จจริงกันแล้วว่า ที่ดินของโจทก์ทั้งสองเนื้อที่ 3 ไร่ 1 งาน 74 ตารางวา ที่โจทก์ทั้งสองฟ้องคดีนี้เป็นส่วนที่เกินจากจำนวนเนื้อที่ตามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2532 คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่าที่ดินส่วนที่เกินจากจำนวนเนื้อที่ตามที่ระบุไว้ในบัญชีรายชื่อเจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินที่ต้องเวนคืนท้ายพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2532 ดังกล่าวถูกเวนคืนตามกฎหมายด้วยดังจำเลยทั้งสี่ฎีกาหรือไม่เนื่องจากการเวนคืนที่ดินในกรณีนี้ต้องอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 ซึ่งมาตรา 15 ของพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติว่า “เมื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอนแล้วให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นเพื่อเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว โดยให้ระบุที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์อย่างอื่นที่ต้องเวนคืนพร้อมทั้งรายชื่อเจ้าของหรือผู้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย
ให้มีแผนที่หรือแผนผังแสดงเขตอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องเวนคืนอย่างชัดเจนไว้ท้ายพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์และให้ถือแผนที่หรือแผนผังนั้นเป็นส่วนหนึ่งแห่งพระราชบัญญัตินั้น
เขตอสังหาริมทรัพย์นั้นต้องปักหลักหมายเขตไว้โดยชัดเจนก่อนที่จะออกพระราชบัญญัติ” ดังนั้น การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์จึงต้องกระทำโดยอาศัยกฎหมายในรูปของพระราชบัญญัติซึ่งต้องระบุรายละเอียดดังกล่าวข้างต้นด้วย ข้อเท็จจริงเรื่องนี้ปรากฏว่ามีการออกพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2532ตามเอกสารหมาย ล.2 เวนคืนที่ดินของโจทก์ทั้งสองโดยมาตรา 4แห่งพระราชบัญญัติฉบับนี้บัญญัติให้เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ต่าง ๆ ของกรุงเทพมหานคร ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชบัญญัตินี้ซึ่งปรากฏรายชื่อเจ้าของหรือผู้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้ให้แก่กรมทางหลวงเมื่อตรวจดูบัญชีรายชื่อและแผนที่ท้ายพระราชบัญญัติเอกสารหมาย ล.2 ระบุว่าที่ดินของโจทก์ทั้งสองถูกเวนคืนเนื้อที่ 3 ไร่64 ตารางวา ตามรูปแผนที่ท้ายพระราชบัญญัติโดยข้อความในมาตรา 4 บัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่าให้เวนคืนที่ดินภายในแนวเขตตามแผนที่และบัญชีรายชื่อท้ายพระราชบัญญัติเท่านั้น ทั้งตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บทของการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ได้บัญญัติไว้ว่า ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นเพื่อเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เมื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอนแล้ว โดยให้ระบุที่ดินที่ต้องเวนคืนพร้อมทั้งรายชื่อเจ้าของและให้มีแผนที่หรือแผนผังแสดงเขตที่ต้องเวนคืนอย่างชัดเจนไว้ท้ายพระราชบัญญัติและให้ถือว่าแผนที่หรือแผนผังนั้นเป็นส่วนหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติด้วย ดังนั้น จำนวนเนื้อที่ดินและรูปแผนที่ในบัญชีรายชื่อเจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินที่ต้องเวนคืนและแผนที่ท้ายพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์จึงต้องเป็นจำนวนที่ถูกเวนคืนที่แน่นอน เมื่อจำเลยที่ 4 นำชี้แนวเขตทางเข้าไปในที่ดินของโจทก์ทั้งสองเกินกว่ารูแผนที่และจำนวนเนื้อที่ดินที่ระบุไว้ในบัญชีรายชื่อเจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินที่ต้องเวนคืนท้ายพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ. 2532 แม้ยังอยู่ในระยะ 240 เมตร ตามที่พระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงแผ่นดินสายคลองตัน-หนองงูเห่าพ.ศ. 2522 กำหนดไว้ก็ต้องถือว่าส่วนที่จำเลยที่ 4 นำชี้เพิ่มอีก 3 ไร่ 1 งาน 74 ตารางวา ถูกเวนคืนด้วยไม่ได้ เพราะขัดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 15 และพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2532มาตรา 4 ดังนั้น ที่ดินที่จำเลยที่ 4 นำชี้ให้รังวัดปักหลักเขตเข้าไปในที่ดินของโจทก์ทั้งสองเพิ่มอีก 3 ไร่ 1 งาน 74 ตารางวา จึงไม่ใช่ที่ดินที่ถูกเวนคืนตามกฎหมาย จำเลยทั้งสี่ไม่มีสิทธิเข้าไปเกี่ยวข้อง การที่จำเลยที่ 3 มอบหมายให้จำเลยที่ 4 ไปนำชี้แนวเขตในนามของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามแผนที่แนวทางและระดับของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 4 นำชี้ให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดเข้าไปในที่ดินของโจทก์ทั้งสองและวางหลักปักหมุดในที่ดินของโจทก์ทั้งสองเกินกว่าจำนวนเนื้อที่ที่ถูกเวนคืนตามที่ระบุในแผนที่และบัญชีรายชื่อเจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินที่ต้องเวนคืนท้ายพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2532 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ทั้งสองได้โต้แย้งคัดค้านแล้ว แต่จำเลยทั้งสี่ยังยืนยันจะเข้าไปสร้างทางในที่ดินของโจทก์ทั้งสองส่วนนี้จนโจทก์ทั้งสองต้องดำเนินคดีทางศาล ดังนี้ การกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง
ประเด็นข้อที่ 2 โจทก์ทั้งสองเสียหายหรือไม่เพียงใดจำเลยทั้งสี่ฎีกาว่าโจทก์ทั้งสองไม่ได้รับความเสียหายจำเลยที่ 2 ได้นำเงินค่าทดแทนที่ดิน ส่วนที่ดินพิพาทไปวางไว้ต่อศาลแพ่งแล้วจึงไม่มีค่าเสียหายที่ต้องชำระอีก เห็นว่า โจทก์ทั้งสองระบุในคำขอท้ายฟ้องขอให้ศาลพิพากษาห้ามมิให้จำเลยทั้งสี่และบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ทั้งสองตามฟ้องภายในเส้นสีน้ำเงินเนื้อที่ 3 ไร่ 1 งาน 74 ตารางวา หากจำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติหรือไม่สามารถปฏิบัติตามคำขอข้างต้นได้ให้จำเลยทั้งสี่ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงิน 18,892,500 บาท เท่าราคาที่ดินที่โจทก์ทั้งสองทำสัญญาจะซื้อจะขายกับบุคคลภายนอกโดยมิได้เรียกร้องค่าเสียหายอย่างอื่นอีกข้อเท็จจริงปรากฏตามสำนวนว่าในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์โจทก์ทั้งสองได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามจำเลยกับพวกมิให้กระทำการใด ๆ ในที่ดินพิพาทจนกว่าคดีจะถึงที่สุดตามคำร้องลงวันที่ 3 ตุลาคม 2540 จำเลยทั้งสี่ยื่นคำแถลงคัดค้านศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า “พิเคราะห์แล้วคดีนี้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแล้ว และอยู่ในระหว่างนัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์จึงไม่มีเหตุที่จะคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ทั้งสองในระหว่างอุทธรณ์ ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ” ซึ่งมีการอ่านคำสั่งในวันที่ 3 มีนาคม 2541 วันเดียวกันกับที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินที่ถูกเวนคืนจำเลยทั้งสี่จึงไม่มีสิทธิที่จะเข้าไปถือครอบครองที่ดินพิพาทได้โดยพลการข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าหลังจากนั้นฝ่ายจำเลยได้เข้าไปครอบครองหรือดำเนินการก่อสร้างทางในที่ดินพิพาท คงได้ความแต่เพียงว่าฝ่ายจำเลยได้นำรังวัดปักหมุดในเขตที่ดินพิพาทเท่านั้นโจทก์ทั้งสองจึงไม่ได้สูญเสียที่ดินพิพาทตามฟ้องไปแต่อย่างใดจึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสองเสียหายเท่าราคาที่ดินที่โจทก์ทั้งสองทำสัญญาจะซื้อจะขายกับบุคคลภายนอกตามฟ้องจำเลยทั้งสี่จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายส่วนนี้ต่อโจทก์ทั้งสอง ฎีกาของจำเลยทั้งสี่ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 6395 ตำบลคลองสามประเวศ (คลองประเวศบุรีรมย์ฝั่งเหนือ) อำเภอลาดกระบัง (แสนแสบ) จังหวัดพระนคร ภายในเส้นสีน้ำเงิน เนื้อที่ 3 ไร่ 1 งาน 74 ตารางวา ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องยังคงเป็นของโจทก์ทั้งสองมิได้ถูกเวนคืน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก แต่หากฝ่ายจำเลยได้ก่อสร้างถนนบนที่ดินพิพาทไปแล้วก็ไม่ตัดสิทธิโจทก์ทั้งสองที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอายุความ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share