แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่พิพาทเป็นป่า แต่ไม่ปราฏข้อเท็จจริงว่าเป็นป่าสงวนแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 โจทก์ย่อมเข้ายึดถือครอบครองได้ ส่วนจะได้กรรมสิทธิหรือมีสิทธิเพียงใดนั้น เป็นเรื่องระหว่างรัฐกับโจทก์ แต่ในระหว่างราษฎรด้วยกัน โจทก์ย่อมมีสิทธิดีกว่าผู้อื่นซึ่งเข้าครอบครองภายหลัง การที่จำเลยเข้าแย่งการครอบครองอันเป็นการรบกวนสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินร่วมกัน ๑ แปลง ตั้งอยู่ในหมู่ที่ ๑๒ ตำบลเขาฉกรรจ์ อำเภอสระแก้ว จังหวัดปราจีนบุรี ได้มาโดยโจทก์เข้าครอบครองบุกเบิกที่รกร้างว่างเปล่าตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ทำไร่และปลูกกล้วย จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ได้สมคบกับจำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๙ บุกรุกเข้าไปครอบครองทำไร่ในที่ดินของโจทก์ โดยเจตนายึดเอาที่ดินของโจทก์ทั้งหมด เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ขับไล่จำเลยทุกคนออกจากที่ดินของโจทก์ห้ามมิให้จำเลยเข้าเกี่ยวข้องต่อไป
ต่อมาโจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของผู้ครอบครองที่ดิน ที่ดินนี้เดิมจำเลยที่ ๒ ครอบครองอยู่ จำเลยที่ ๓ ซื้อมาจากจำเลยที่ ๒
จำเลยที่ ๔ ถึงที่ ๙ ให้การว่า โจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ เป็นหญิงมีสามีไม่ได้รับความยินยอมจากสามี ไม่มีสิทธิฟ้อง ที่ดินที่จำเลยครอบครองอยู่เป็นที่ดินของจำเลยเอง โดยซื้อจากบุคคลภายนอก
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๙ ออกจากที่ดินแปลงพิพาท
จำเลยที่ ๓ ที่ ๕ ที่ ๘ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๓ ที่ ๕ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่มาสู่ศาลฎีกาคงมีว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ซึ่งจำเลยที่ ๓ ที่ ๕ ฎีกาว่าที่พิพาทเป็นป่าตามมติคณะรัฐมนตรีอยู่ในความรับผิดชอบของกรมป่าไม้ โจทก์ไม่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเห็นว่า จำเลยฎีกาว่าที่พิพาทเป็นป่าแต่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเป็นป่าสงวนแห่งชาติตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ ฉะนั้น โจทก์ย่อมเข้าไปยึดถือครอบครองได้ ส่วนจะได้กรรมสิทธิ์หรือมีสิทธิเพียงใดนั้น เป็นเรื่องระหว่างรัฐกับโจทก์ แต่ในระหว่างราษฎรด้วยกัน โจทก์ย่อมมีสิทธิดีกว่าผู้อื่นซึ่งเข้าครอบครองภายหลัง การที่จำเลยที่ ๓ ที่ ๕ กับพวกเข้าแย่งการครอบครองอันเป็นการรบกวนสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
พิพากษายืน