คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 650/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีอาญา ส่งสำเนาฎีกาให้จำเลยไม่ได้ ศาลฎีกาพิจารณาพิพากษาต่อไปได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 ประกอบด้วยมาตรา 201
จำเลยจำนำสร้อยคอของตนไว้กับผู้เสียหายเพื่อเอาเงินมาเล่นการพนัน แล้วจำเลยกระชากสร้อยเส้นนั้นไปจากคอผู้เสียหาย ไม่เป็นผิดฐานลักทรัพย์ เพราะสร้อยนั้นเป็นของจำเลยเอง และเมื่อไม่เป็นการลักทรัพย์ ก็ไม่อาจเป็นผิดฐานชิงทรัพย์ได้
การกระทำของจำเลยดังกล่าวแล้วนั้นอาจเป็นผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 349 แต่โจทก์ฟ้องว่าชิงทรัพย์ จะลงโทษฐานโกงเจ้าหนี้ไม่ได้ เพราะถือว่าข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้องในข้อสารสำคัญ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรค 2 คดีต้องยกฟ้องโดยไม่จำต้องวินิจฉัยว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยฐานโกงเจ้าหนี้ด้วยหรือไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยร่วมกันลักสร้อยคอของนายเอี้ยว แซ่เบ้ ผู้เสียหายไปและจำเลยร่วมกันใช้กำลังทำร้ายนายเอี้ยว แซ่เบ้ จนเป็นอันตรายแก่กาย เพื่อให้เป็นความสะดวกแก่การลักทรัพย์ และพาทรัพย์ดังกล่าวไป ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๙
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ข้อเท็จจริงในคดีฟังยุติได้ว่า คืนเกิดเหตุผู้เสียหายกับพวกและจำเลยที่ ๑ ได้ลักลอบเล่นการพนันกันที่ห้องของจำเลยที่ ๑ ผู้เสียหายเป็นฝ่ายเล่นได้ จำเลยที่ ๑ เล่นเสียจึงเอาสร้อยคอทองคำของตนจำนำผู้เสียหายไว้เป็นเงินทั้งสิ้น ๒,๐๐๐ บาท ครั้นเวลาประมาณ ๒๓.๐๐ นาฬิกาก็เลิกเล่นกัน พวกเล่นต่างทยอยกลับ ขณะที่ผู้เสียหายจะออกจากประตูห้อง จำเลยที่ ๑ ได้พูดขอสร้อยคืน ผู้เสียหายบอกให้เอาเงินมาไถ่ จำเลยที่ ๑ ก็กระชากสร้อยซึ่งสวมอยู่ที่คอผู้เสียหายจนขอหลุดหาย สร้อยติดมือจำเลยที่ ๑ ไป ทันใดนั้น จำเลยที่ ๒ ได้ใช้ไม้ท่อนตีผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ ผู้เสียหายวิ่งหนีไปแจ้งความตำรวจที่ป้อมยาม แจ้งว่าผู้เสียหายบุกรุกเข้าไปชิงทรัพย์
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้แม้ส่งสำเนาฎีกาให้จำเลยไม่ได้ ศาลฎีกาก็พิจารณาพิพากษาต่อไปได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๖ ประกอบด้วยมาตรา ๒๐๑ และการที่จำเลยที่ ๑ จำนำสร้อยคอของตนไว้กับผู้เสียหายนั้นต้องถือว่าสร้อยนั้นยังเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ อยู่ ทรัพย์นั้นเป็นเพียงเพื่อประกันการชำระหนี้เท่านั้น การที่จำเลยเอาทรัพย์ของตนเองไป จึงไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๔ และเมื่อไม่เป็นลักทรัพย์ก็ไม่อาจเป็นผิดฐานชิงทรัพย์ได้ หากจะเป็นผิดก็เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๙ แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าชิงทรัพย์ จะลงโทษฐานโกงเจ้าหนี้ไม่ได้ เพราะถือว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องในข้อสารสำคัญตามประมวลกฎหมายวิธิพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ วรรค ๒ คดีต้องยกฟ้องโดยไม่จำต้องวินิจฉัยว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยฐานโกงเจ้าหนี้ด้วยหรือไม่
ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๑ ฐานชิงทรัพย์ ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ฐานทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๖ เช่นเดียวกับที่ศาลลงโทษจำเลยที่ ๒ นั้น ข้อเท็จจริงยังไม่พอชี้ขาดว่าจำเลยที่ ๑ ได้ร่วมกับจำเลยที่ ๒ ทำร้ายร่างกายผู้เสียอย่างใด ฎีกาโจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาโจทก์.

Share