คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6486/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องคดีก่อนและคดีนี้โจทก์อ้างเหตุว่าจำเลยปฏิบัติผิดสัญญาเช่าและสัญญาให้บริการฉบับเดียวกัน ซึ่งโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาทำให้สัญญาทั้งสองฉบับเลิกกันแล้ว ในคดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินที่ค้างและค่าเสียหายกับขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่เช่า พร้อมส่งมอบที่เช่าคืนโจทก์ กรณีเป็นการใช้สิทธิในฐานะคู่สัญญาฝ่ายที่ได้รับความเสียหายจากการเลิกสัญญา โจทก์สามารถเรียกเอาค่าเสียหายในอนาคตรวมถึงค่าเสียหายต่างๆ อันสืบเนื่องจากจำเลยไม่ส่งมอบที่เช่าคืนโจทก์ภายหลังสัญญาเลิกกันได้ ค่าใช้ทรัพย์ที่ตกเป็นของโจทก์โดยข้อสัญญาและค่าปรับที่จำเลยออกจากที่เช่าล่าช้าตามฟ้องโจทก์คดีนี้ล้วนเป็นค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการเลิกสัญญาที่คู่สัญญาได้คาดเห็นอยู่ก่อนแล้วว่าจำเลยอาจส่งมอบที่เช่าคืนโจทก์ล่าช้าและยังคงใช้ประโยชน์ในที่เช่าต่อไป จึงได้มีการระบุไว้เป็นข้อตกลงในสัญญาเช่า ทั้งยังถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของค่าเสียหายที่โจทก์ฟ้องเรียกจากจำเลยเป็นรายเดือนจนกว่าจะได้ที่เช่าคืนในคดีก่อนแล้ว ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นคำฟ้องเรื่องเดียวกันกับฟ้องคดีก่อน เป็นฟ้องซ้อนไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้เงินค่าเสียหาย 56,790,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และใช้ค่าเสียหายวันละ 127,900 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะส่งมอบพื้นที่เช่าจุดที่ 1 ในสภาพดีให้แก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 2,495,240 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 (ที่ถูก ร้อยละ 7.5 ต่อปี) ของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 4 กรกฎาคม 2551) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยชำระค่าปรับอีกวันละ 7,674 บาท นับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนถึงวันที่ 16 กรกฎาคม 2552 กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท คำขออื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ โดยโจทก์ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์บางส่วน
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งโจทก์และจำเลยทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาบางส่วน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติโดยคู่ความมิได้โต้แย้งกันว่า เดิมโจทก์กับจำเลยทำสัญญาเช่าพื้นที่ส่วนหนึ่งของอาคารชอปปิงอาเขต อาคารศูนย์บริหารการขนส่งสาธารณะ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และทำสัญญาให้บริการกัน ตามสำเนาสัญญาเช่าและสัญญาให้บริการ ต่อมาโจทก์อ้างว่าจำเลยผิดสัญญาโดยไม่ชำระค่าเช่า ค่าบริการ และผลประโยชน์ต่าง ๆ แก่โจทก์ โจทก์จึงมีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระภายในกำหนด หากจำเลยไม่ชำระให้ถือเอาหนังสือดังกล่าวเป็นการบอกเลิกสัญญาทั้งสองฉบับ แต่จำเลยไม่ชำระตามกำหนด โจทก์จึงฟ้องจำเลยต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้เป็นคดีหมายเลขดำที่ 8936/2550 ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเช่า ค่าบริการ และผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่ค้างชำระพร้อมชดใช้ค่าเสียหายกับขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่เช่าและส่งมอบที่เช่าคืนให้แก่โจทก์ ตามสำเนาคำฟ้อง จำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดี ต่อมาจำเลยยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้เป็นคดีหมายเลขดำที่ 7209/2551 อ้างว่าจำเลยเข้าทำสัญญากับโจทก์โดยสำคัญผิดและบอกล้างโมฆียกรรมแล้ว ขอให้บังคับโจทก์ชำระค่าเสียหายแก่จำเลย ศาลแพ่งกรุงเทพใต้มีคำสั่งให้รวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน ระหว่างที่คดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ โจทก์จึงฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้น คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขดำที่ 8936/2550 ของศาลแพ่งกรุงเทพใต้หรือไม่ เห็นว่า ในคดีหมายเลขดำที่ 8936/2550 ดังกล่าว โจทก์ฟ้องจำเลยโดยกล่าวอ้างว่าจำเลยปฏิบัติผิดสัญญาเช่าและสัญญาให้บริการซึ่งเป็นสัญญาฉบับเดียวกันกับคดีนี้ โจทก์จึงใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา ทำให้สัญญาทั้งสองฉบับเป็นอันเลิกกัน และขอให้บังคับจำเลยชำระเงินต่าง ๆ ที่ค้างชำระพร้อมชดใช้ค่าเสียหายกับขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่เช่าและส่งมอบที่เช่าคืนให้แก่โจทก์ อันเป็นการใช้สิทธิต่าง ๆ ในฐานะคู่สัญญาฝ่ายที่ได้รับความเสียหายจากการเลิกสัญญา ซึ่งโจทก์สามารถเรียกเอาค่าเสียหายต่าง ๆ ในอนาคตได้ด้วยรวมถึงค่าเสียหายต่าง ๆ อันสืบเนื่องมาจากจำเลยไม่ส่งมอบที่เช่าคืนให้แก่โจทก์ภายหลังสัญญาเลิกกัน ซึ่งค่าใช้ทรัพย์ที่ตกเป็นของโจทก์โดยข้อสัญญาก็ดี ค่าปรับที่จำเลยออกจากที่เช่าล่าช้าเกินกว่าที่กำหนดก็ดี ล้วนเป็นค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการเลิกสัญญาที่คู่สัญญาได้คาดเห็นอยู่ก่อนแล้วว่าจำเลยอาจส่งมอบที่เช่าคืนให้โจทก์ล่าช้าและยังใช้ประโยชน์ในที่เช่าต่อไป ดังเห็นได้จากการที่มีการระบุไว้ในสัญญาเช่าเป็นใจความสำคัญว่า หากสัญญาเช่าสิ้นสุดลงไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ จำเลยต้องขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่เช่าและส่งมอบที่เช่าให้แก่โจทก์ในสภาพดีภายใน 30 วัน หากพ้นกำหนดดังกล่าวยอมให้โจทก์กลับเข้าครอบครองที่เช่าทันที และให้ทรัพย์สินที่จำเลยมิได้ขนย้ายออกไปตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่โจทก์ และให้สิทธิแก่โจทก์ที่จะเรียกเอาค่าปรับในกรณีที่จำเลยขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่เช่าล่าช้าเกินกว่าที่กำหนดอีกด้วย นอกจากนี้ค่าเสียหายที่โจทก์อ้างว่าเป็นค่าใช้ทรัพย์ที่ตกเป็นของโจทก์โดยข้อสัญญา และค่าปรับนับแต่วันที่สัญญาเลิกกัน ยังถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องเอาจากจำเลยเป็นรายเดือนนับแต่วันที่สัญญาเลิกกันจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่เช่าและส่งมอบที่เช่าคืนให้โจทก์ ซึ่งโจทก์ฟ้องเรียกร้องเอาจากจำเลยแล้วในคดีหมายเลขดำที่ 8936/2550 ของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ดังนั้นฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นคำฟ้องเรื่องเดียวกันและเป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขดำที่ 8936/2550 ของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย และคดีไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาข้ออื่นของโจทก์อีกต่อไป ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share