คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6486/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยและผู้ค้ำประกันจำเลยที่โจทก์นำยึดไว้ จำเลยและผู้ค้ำประกันยื่นคำร้องคัดค้านให้ยกเลิกการขายและขอให้ขายใหม่ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งแล้วจำเลยก็อุทธรณ์ฎีกา ทำให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่อาจจ่ายเงินจากการขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ได้ การที่โจทก์ยังไม่ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษา ถือว่าการบังคับคดียังไม่เสร็จ สมบูรณ์จนกว่าจะได้มีการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา จำเลยจึงต้องรับผิดใช้ดอกเบี้ยจากเงินที่ขายทอดตลาดได้ซึ่งเป็นจำนวนน้อยกว่าเงินต้นที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์จนถึงวันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่คิดดอกเบี้ยดังกล่าวให้โจทก์นั้นโจทก์ไม่จำต้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นภายใน 8 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดี เพราะมิใช่เป็นเรื่องเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งลักษณะการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง แต่เป็นกรณีวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดเมื่อใดและจำนวนเท่าใด กรณีจึงไม่ต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 296 วรรคสอง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจาก โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดี ยึดที่ดินของจำเลยที่ 1 ขายทอดตลาด จำเลยที่ 1 ร้องต่อศาลว่าการขายทอดตลาดไม่ชอบ ขอให้ยกเลิกแล้วดำเนินการขายใหม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืน
โจทก์ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี ขอให้คิดดอกเบี้ยจากต้นเงินที่ได้จากการขายทอดตลาด นับแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 2526 จนถึงวันอ่านคำพิพากษาฎีกาเจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งยกคำร้องโจทก์จึงยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้เพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดี
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์สั่งให้เพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานบังคับคดี จำเลยที่ 1อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยที่ 1 ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยจากต้นเงินที่ขายทอดตลาดที่ดิน นับแต่วันที่ 5 พฤษภาคม2526 ถึง วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2528 โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาในชั้นนี้มีว่า จำเลยที่ 1 จะต้องเสียดอกเบี้ยจากต้นเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดิน 4 แปลงนับแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 2526 ซึ่งเป็นวันที่อายัดเงินจนถึง วันที่11 กุมภาพันธ์ 2528 ซึ่งเป็นวันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาหรือไม่พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2524เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยที่ 1 และผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ที่ยึดไว้จำนวน 4 แปลง การที่จำเลยที่ 1และผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องโต้แย้งคัดค้านให้ยกเลิกการขายทอดตลาดและขอให้ขายใหม่ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งแล้วจำเลยที่ 1 ก็อุทธรณ์ฎีกา ทำให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่อาจจ่ายเงินจากการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์รับไปได้ เมื่อโจทก์ยังไม่ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษา การบังคับคดีของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจึงไม่เสร็จสิ้นบริบูรณ์จนกว่าจะได้มีการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ดังนั้น นับแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 2526 ซึ่งเป็นวันที่อายัดเงินของจำเลยที่ 1จนถึงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2528 ซึ่งเป็นวันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากเงินที่ขายทอดตลาดได้ซึ่งเป็นจำนวนน้อยกว่าเงินต้นที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาตามยอม ส่วนที่จำเลยที่ 1 แก้ฎีกาว่าโจทก์มิได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นภายใน8 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดี จึงเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสองนั้นเห็นว่า เรื่องนี้มิใช่เป็นเรื่องเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งลักษณะการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งแต่เป็นกรณีที่วินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 เมื่อใดและจำนวนเท่าใด กรณีจึงไม่ต้องตามบทมาตราดังกล่าว ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำสั่งของศาลชั้นต้น

Share