คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1230/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์อยู่กินกับจำเลยฉันสามีภรรยาโดยไม่ได้จดทะเบียนและมีบุตรด้วยกัน โจทก์ซึ่งเป็นมารดามีอำนาจฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงบุตรผู้เยาว์รวมเข้ามาในคดีเดียวกับที่ขอให้จำเลยรับรองบุตรได้ ไม่ต้องฟ้องขอให้รับบุตรจนมีคำพิพากษาถึงที่สุดเสียขั้นหนึ่งก่อน
ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์นั้น โจทก์มีสิทธิเรียกร้องได้นับแต่วันคำพิพากาาว่าเด็กเป็นบุตรถึงที่สุด ส่วนค่าเลี้ยงดูที่โจทก์จ่ายไปตั้งแต่วันที่จำเลยเลิกร้างกับโจทก์ จนถึงวันฟ้องนั้นบังคับให้ไม่ได้
ในชั้นศาลอุทธรณ์จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้เรื่องฟ้องเคลือบคลุม จำเลยยกปัญหานี้ขึ้นมาในชั้นฎีกาจึงเป็นการมิชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยได้แต่งงานอยู่กินฉันสามีภรรยา ไม่ได้จดทะเบียนสมรสและมีบุตรด้วยกัน ๒ คน ยังเป็นผู้เยาว์ทั้งสองคน จำเลยเป็นผู้แจ้งการเกิดให้ใช้นามสกุล ให้การอุปการะเลี้ยงดู ให้การศึกษา และรับรองว่าเป็นบุตร ปลายปี พ.ศ. ๒๕๑๗ โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกัน บุตรทั้งสองอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของโจทก์ จำเลยไม่เคยส่งเสียค่าอุปการะเลี้ยงดุบุตรทั้งสอง ทั้ง ๆ ที่จำเลยมีฐานะดี ส่วนโจทก์มีฐานะยากจนลง ต้องกุ้เงินผู้มีชี่อมาใช้จ่ายเลี้ยงดูบุตรทั้งสองและให้การศึกษาเป็นเงินไม่น้อยกว่า ๒๔,๐๐๐๐ บาท ซึ่งจำเลยต้องรับผิดครึ่งหนึ่งเป็นเงิน ๑๒,๐๐๐ บาท โจทก์ขอให้จำเลยไปจดทะเบียนรับรองบุตรทั้งสอง จำเลยผัดผ่อนไม่มีที่สิ้นสุด โจทก์ขอให้จำเลยอุปการะเลี้ยงดูเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท จนกว่าบุตรทั้งสองจะบรรลุนิติภาวะ จำเลยเพิกเฉย ขอให้จำเลยจดทะเบียนรับรองบุตรทั้งสองเป็นของจำเลยต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หากจำเลยไม่ยอมให้ ถือเอาคำพิพากาาของศาลล่างเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองนับแต่วันฟ้อง จนกว่าบุตรทั้งสองจะบรรลุนิติภาวะในอัตราเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้อยู่กินฉันสามีภรรยากับโจทก์ บุตรทั้งสองไม่ใช่บุตรของจำเลย จำเลยไม่ได้แจ้งการเกิด ไม่ได้อนุญาตให้ใช้นามสกุล ไม่เคยให้การอุปการะเลี้ยงดู โจทก์ไม่เคยขอร้องให้จำเลยจดทะเบียนรับรองบุตร จำเลยไม่ต้องรับผิดอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ค่าอุปการะเลี้ยงดูเกินกว่าที่จำเป็นและเกินกว่าฐานะของจำเลยที่จะปฏิบัติได้ โจทก์มิได้กำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดุว่ามีอะไรบ้าง ฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องบุตรทั้งสองของโจทก์ เกิดระหว่างโจทก์กับจำเลยอยู่กินกันฉันสามีภรรยา ให้จำเลยจดทะเบียนรับรองบุตรทั้งสอง หากจำเลยไม่ยินยอมให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยชำระค่าใช้จ่ายเลี้ยงดุบุตรแก่โจทก์เป็นเงิน ๑๒,๐๐๐ บาท ให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองเป็นรายเดือนคนละ ๕๐๐ บาทต่อเดือน นับแต่วันฟ้องจนกว่าบุตรทั้งสองจะมีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๓๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าใช้จ่ายเลี้ยงดูบุตรแก่โจทก์เป็นเงิน ๗,๒๐๐ บาท ให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดุบุตรทั้งสองเป็นรายเดือนคนละ ๓๐๐ บาทต่อเดือน นับแต่วันฟ้องจนกว่าบุตรทั้งสองจะบรรลุนิติภาวะเว้นแต่พฤติการณ์จะเปลี่ยนแปลงไป ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยชำระค่าใช้จ่ายเลี้ยงดุบุตรแก่โจกท์และให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดุบุตรทั้งสองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยฎีกาของโจทก์และจำเลยพร้อมกันไป
ปัญหาประการแรกที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูเพราะศาลยังมิได้พิพากษาว่าผู้เยาว์ทั้งสองเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของจำเลย ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์ทั้งสองรวมเข้ามาในคดีเดียวกับที่ขอให้จำเลยรับรองบุตรย่อมทำได้ไม่มีกฎหมายห้าม โดยเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องต่อจากเรื่องการรับรองบุตร การฟ้องคดีสะดวกขึ้นไม่เยิ่นเย้อที่ต้องฟ้องคดี ขอให้รับรองบุตรจนมีคำพิพากษาถึงทีสุดเสียชั้นหนึ่งก่อน แล้วจึงมาฟ้องขอค่าอุปการะเลี้ยงดูอีกภายหลัง อนึ่ง การฟ้องคดีรวมกันมาก็ไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบในเชิงคดีอย่างใด เพราะคดีมี ๒ ประเด็น ถ้าประเด็นข้อรับรองบุตรฟังไม่ได้เสียแล้ว ประเด็นข้อค่าอุปการะเลี้ยงดูก็ไม่ต้องวินิจฉัยไปในตัว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูรวมกันมากับขอให้รับรองบุตรได้ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาประการต่อมา จำเลยฎีกาวาผู้เยาว์ทั้งสองไม่ใช่บุตรของจำเลย ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าผู้เยาว์ทั้งสองเป็นบุตรของจำเลย
ที่โจทก์ฎีกาเกี่ยวกับค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรโดยโจทก์ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรากจำเลยรวม ๒ รายการ คือค่าเลี้ยงดูที่โจทก์ใช้จ่ายไปตั้งแต่วันจำเลยเลิกร้างกับโจทก์ จนถึงวันฟ้องเป็นเวลา ๓ ปี จำนวนเงิน ๑๒,๐๐๐ บาท และค่าเลี้ยงดูตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าบุตรผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะอีกเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท ศาลฎีกาเห็นว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๓๐ (๓) (เดิม) บัญญัติว่า “ถ้ามีคำพิพากษาว่าเป็นบุตรก็ให้มีผลนับแต่วันพิพากษาคดีถึงที่สุด….” ค่าเลี้ยงดูที่โจทก์ใช้จ่ายไปตั้งแต่วันจำเลยเลิกร้างกับโจทก์จนถึงวันฟ้องจึงบังคับให้ไม่ได้ โจทก์คงมีสิทธิเรียกร้องค่าอุปการะเลี้ยงดู บุตรผู้เยาว์ทั้งสองนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด กำหนดให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดุบุตรผู้เยาว์ทั้งสองเป็นรายเดือนคนละ ๕๐๐ บาทต่อเดือน
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมนั้น จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรแก่ผู้เยาว์ทั้งสองเป็นรายเดือนคนละ ๕๐๐ บาทต่อเดือน นับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุดเป็นต้นไปจนกว่าบุตรผู้เยาว์ทั้งสองจะบรรลุนิติภาวะ นอกจากที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share