แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทได้ทำสัญญาขายที่รายพิพาทไห้ผู้อื่นพายหลัง เมื่อจำเลยบอกเลิกสัญญาจะขายที่รายพิพาทนี้จะถือว่าโจทต้องเสียหายเพราะจำเลยผิดสัญญาไม่ได้. โจทฟ้องเรียกเงินมัดจำ 200 บาทตามสัญญาคืน จำเลยต่อสู้ว่าโจทไม่ได้วางเงินมัดจำเช่นนี้จำเลยนำพยานบุคคลมาสืบหักล้างได้.
ย่อยาว
โจทฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาจะขายที่พิพาท ซึ่งเปนเหตุไห้โจทขาดประโยชน์ที่ควนจะได้รับเปนเงิน ๒๕๐๐ บาทและจำเลยต้องคืนเงินมัดจำ ๒๐๐ บาทและไช้เบี้ยปรับอีก ๑๐๐ บาทจึงขอไห้สาลบังคับไห้จำเลยใช้เงินแก่โจท ๒๘๐๐ บาท
จำเลยไห้การต่อสู้และปติเสธ
สาลชั้นต้นและสาลอุธรน์วินิฉัยว่าจำเลยหลงเข้าใจผิดไหสารสำคันแห่งสัญญา จึงพิพากษาไห้ยกฟ้องโจท
โจทดีกา สาลดีกาเห็นว่าพายหลังเมื่อจำเลยบอกเลิกสัญญาจะขายที่รายพิพาทต่อโจทแล้ว โจทจึงได้ทำสัญญาจะขายที่รายนี้ไห้บุคคลอื่นเช่นนี้ จะเรียกว่าโจทต้องเสียหายเพราะจำเลยผิดสัญญาไม่ได้ เพราะเปนเรื่องที่โจทก่อขึ้นไนเมื่อจำเลยสแดงว่าจะไม่ขายที่รายพิพาทไห้โจทตามสัญญาแล้ว การผิดสัญญา กดหมายประสงค์เพียงแต่ไห้ผู้ผิดสัญญาชดเชยความเสียหายจิง ๆ ที่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งได้รับเนื่องจากการผิดสัญญาเท่านั้น จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดไหจำนวนเงิน ๒๕๐๐ บาท
ข้อที่โจทเรียกคืนเงินมัดจำ ๒๐๐ บาทและจำเลยต่อสู้ว่าโจทไม่ได้วางเงินโจทจึงเถียงว่าจำเลยจะสืบพยานบุคคลหักล้างเอกสารไม่ได้ตาม ป.ว.ท. ม. ๙๔ สาลดีกาเห็นว่าตามกดหมายที่โจทอ้างกับ ป.พ.พ.ม. ๔๕๖ กดหมายมิได้บังคับว่าการนำสืบไปข้อนี้ต้องมีพยานเอกสารมาสแดงจำเลยจึงนำสืบพยานบุคคลได้ และเห็นพ้องด้วยสาลล่างที่ฟังว่าโจทไม่ได้วางเงินมัดจำ ๒๐๐ บาท
ส่วนข้อที่โจทฟ้องเรียกเบี้ยปรับตามสัญญา ๑๐๐ บาทนั้นเมื่อฟังว่าจำเลยผิดสัญญา จำเลยก็ต้องรับผิด จึงพิพากสาแก้ว่าจำเลยไม่มีสิทธิเลิกสัญญาจะขายที่ดิน ถ้าจำเลยไม่ยอมขายจำเลยก็เปนฝ่ายผิดสัญญา ไห้จำเลยไช้เงินเบี้ยปรับ ๑๐๐ บาทคำขอนอกจากนี้ไห้ยก.