คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 153/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมกันที่อำเภอว่าจำเลยยอมออกจากที่พิพาท เมื่อจำเลยไม่ยอมออก โจทก์จึงฟ้องขับไล่ จำเลยจะเถียงว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะ โจทก์มีกรรมสิทธิ์ไม่ได้ ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น หาได้ไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิครอบครอง จำเลยบุกรุกนาของโจทก์ ๓ ไร่ โจทก์ร้องเรียนต่ออำเภอๆ ส่งกำนันไปดูที่ กำนันหลอก ลวงขู่เข็ญให้โจทก์ขายที่ดินที่จำเลยบุกรุกให้จำเลย ๒๐๐ บาท โจทก์จึงร้องต่อนายกรัฐมนตรี ในที่สุดจำเลยทำสัญญาประนีประนอมต่ออำเภอยอมคืนที่พิพาทให้โจทก์ และโจทก์ยอมคืนเงิน ๒๐๐ บาท ให้จำเลย แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอม ขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ให้ขับไล่จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปและให้จำเลยรับเงิน ๒๐๐ บาท จากโจทก์
จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ขายที่ ๑ ไร่เศษ ราคา ๒๐๐ บาท ให้จำเลย แล้วโจทก์ร้องต่ออำเภอขอให้ดินคืน จำเลยก็ยอมคืน แต่โจทก์ไม่คืนเงิน ๒๐๐ บาท ให้จำเลย ๆ จึงไม่ยอมคืนที่ดิน และว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะประโยชน์ โจทก์ไม่มีกรรมสิทธิ์ ฟ้องขับไล่จำเลยไม่ได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินเส้นสีดำขีดจุดในแผนที่ และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปกับให้จำเลยรับเงิน ๒๐๐ บาท จากโจทก์
จำเลยฎีกา (คดีทุนทรัพย์ ๒,๐๐๐ บาท)
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันว่าที่ดินซึ่งจำเลยทำยอมคืนให้โจทก์ คือที่เส้นสีดำขีดจุดเช่นนี้ โจทก์จะฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา ๒๔๘ ส่วนฎีกาของจำเลยที่ว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะ โจทก์มีกรรมสิทธิ์ไม่ได้จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อจำเลยทำยอมจะออกจากที่รายนี้แล้ว จำเลยจะยังเถียงว่าเป็นที่สาธารณะอีกหาได้ไม่
พิพากษายืน.

Share