แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด ได้รับอนุญาตจากทางราชการให้ประกอบธุรกิจซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์ โจทก์รับซื้อรถยนต์พิพาทไว้จาก ส. ซึ่งนำมาขายให้แก่โจทก์ ณ ที่ทำการของโจทก์ไม่ได้ความว่าที่ทำการของโจทก์เป็นท้องตลาด การที่โจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคลได้รับอนุญาตจากทางราชการให้ประกอบธุรกิจซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์นั้นไม่ได้ทำให้ที่ทำการของโจทก์มีสภาพเป็นท้องตลาดสำหรับขายรถยนต์ไปด้วย โจทก์จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1332 เมื่อจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสอบสวนคดีอาญาสืบสวนสอบสวนได้ความว่ารถยนต์พิพาทเป็นรถยนต์ของบริษัท ค. ซึ่งถูกคนร้ายปล้นไป จำเลยทั้งหกย่อมมีอำนาจยึดรถยนต์พิพาทไว้เพื่อประกอบคดีฐานปล้นทรัพย์และคืนให้แก่เจ้าของที่แท้จริงได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับซื้อรถยนต์จากนายสมัคร แต่ยังไม่ได้มีการโอนชื่อในทะเบียนมาเป็นชื่อโจทก์เพราะนายสมัครยังมีหลักฐานไม่ครบ จำเลยทั้งหกได้ร่วมกันยึดรถคันดังกล่าวของโจทก์มาไว้ที่สถานีตำรวจ โจทก์ได้ทำหนังสือขอรับคืน แต่จำเลยทั้งหกไม่คืนให้ โดยอ้างว่ารถคันดังกล่าวอยู่ในระหว่างตรวจสอบว่าเป็นรถที่ได้มาจากการปล้นทรัพย์หรือไม่ หากเป็นรถที่ได้มาจากการปล้นทรัพย์แล้วก็จะคืนให้แก่เจ้าของที่แท้จริงไป โจทก์ได้ซื้อรถคันดังกล่าวมาโดยสุจริตและเป็นการซื้อขายกันตามท้องตลาดซึ่งเป็นไปในทางการค้าของโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิครอบครองและยึดหน่วงหรือใช้ประโยชน์รถคันดังกล่าวไว้ได้จนกว่าเจ้าของอันแท้จริงจะชดใช้ราคาค่ารถคันดังกล่าวให้แก่โจทก์ ขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งหกร่วมกันคืนรถแก่โจทก์
จำเลยทั้งหกให้การว่า รถคันที่โจทก์อ้างว่าได้ซื้อมาโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนจากนายสมัครนั้น เป็นของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์คอมเมอร์เชียลทรัสต์ จำกัด ที่ถูกปล้นเอาไปในขณะที่อยู่ในความครอบครองของนายระพีพัฒน์ ผู้เช่าซื้อ แม้โจทก์รับซื้อรถคันดังกล่าวไว้จากนายสมัครโดยมีค่าตอบแทนก็ตาม แต่โจทก์ก็รับซื้อโดยประมาทเลินเล่อและมิได้ซื้อจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้นจึงไม่ได้รับความคุ้มครอง โจทก์จึงไม่มีกรรมสิทธิ์และสิทธิยึดหน่วงรถคันดังกล่าวไว้ได้ จำเลยทั้งหกมีสิทธิยึดรถคันดังกล่าวเพื่อเอาไปคืนให้แก่เจ้าของที่แท้จริงได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่านายสมัคร นักธรรมนำรถยนต์พิพาทมาขายให้โจทก์ ณ ที่ทำการของโจทก์โดยเปิดเผยและสุจริต เป็นการซื้อขายในท้องตลาด โจทก์ไม่จำต้องคืนให้แก่เจ้าของที่แท้จริง เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332 นั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันฟังได้เป็นยุติว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดได้รับอนุญาตจากทางราชการให้ประกอบธุรกิจในการซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์ โจทก์รับซื้อรถยนต์พิพาทไว้จากนายสมัคร นักธรรม ซึ่งนำมาขายให้แก่โจทก์ ณ ที่ทำการของโจทก์ไม่ได้ความว่า ที่ทำการของโจทก์เป็นท้องตลาด การที่โจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคลได้รับอนุญาตจากทางราชการให้ประกอบธุรกิจซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์นั้น ไม่ได้ทำให้ที่ทำการของโจทก์มีสภาพเป็นท้องตลาดสำหรับขายรถยนต์ไปด้วย โจทก์จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามนัยแห่งบทบัญญัติดังกล่าว ดังนั้นเมื่อจำเลยที่ 2ถึงที่ 6 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสอบสวนคดีอาญาทำการสืบสวนสอบสวนได้ความว่ารถยนต์พิพาทเป็นรถยนต์ของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์คอมเมอร์เชียลทรัสต์ จำกัด ซึ่งถูกคนร้ายปล้นไป จำเลยทั้งหกย่อมมีอำนาจยึดรถยนต์พิพาทไว้เพื่อประกอบคดีฐานปล้นทรัพย์และคืนให้แก่เจ้าของที่แท้จริงได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.