คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6479/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

แม้จำเลยจะทำสัญญาค้ำประกันหนี้เงินกู้ของ จ. โดยยอมรับผิดร่วมกับ จ. อย่างลูกหนี้ร่วมก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับ จ. และศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม ความรับผิดของ จ. ตามสัญญากู้ยืมเงินย่อมระงับสิ้นไปและทำให้ จ. ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ. มาตรา 850 และมาตรา 852 เมื่อความรับผิดของ จ. ต่อโจทก์เปลี่ยนเป็นความรับผิดตามสัญญาประนีประนอมยอมความ หนี้ของ จ. ตามสัญญากู้เงินจึงระงับสิ้นไป จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินของ จ. จึงหลุดพ้นความรับผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 698

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 36,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 36,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 7 ตุลาคม 2546) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ทั้งนี้ให้จำเลยรับผิดไม่เกินจำนวนหนี้ที่นางจิริสุดา (ผู้กู้) ยังค้างชำระแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 30,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 600 บาทแทนโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2545 นางจิริสุดาทำสัญญากู้เงินโจทก์ 30,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ครบกำหนดชำระต้นเงินคืนภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2545 จำเลยทำสัญญาค้ำประกันหนี้เงินกู้ดังกล่าวโดยยอมร่วมรับผิดกับนางจิริสุดาอย่างลูกหนี้ร่วม ต่อมานางจิริสุดาผิดนัดไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงฟ้องนางจิริสุดาและจำเลยต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1362/2545 แต่โจทก์ได้ขอถอนฟ้องจำเลยและทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับนางจิริสุดาโดยมีข้อตกลงว่า นางจิริสุดายอมชำระเงินจำนวน 31,125 บาท แก่โจทก์ และจะผ่อนชำระไม่น้อยกว่าเดือนละ 500 บาท งวดแรกจะชำระให้โจทก์ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2545 งวดต่อไปชำระทุกวันที่ 10 ของทุกเดือนจนกว่าจะชำระหนี้ครบ หากผิดนัดงวดหนึ่งงวดใดถือว่าผิดนัดทั้งหมด ยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันทีและยอมชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินที่ค้างชำระไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2545 เป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1543/2545 คดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมานางจิริสุดาผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์จึงยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า การที่โจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับนางจิริสุดามีผลทำให้จำเลยหลุดพ้นความรับผิดหรือไม่ เห็นว่า แม้จำเลยจะทำสัญญาค้ำประกันหนี้เงินกู้ของนางจิริสุดาโดยยอมรับผิดร่วมกับนางจิริสุดาอย่างลูกหนี้ร่วมก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับนางจิริสุดาและศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม ความรับผิดของนางจิริสุดาตามสัญญากู้ยืมเงินย่อมระงับสิ้นไปและทำให้นางจิริสุดาต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 และมาตรา 852 เมื่อความรับผิดของนางจิริสุดาต่อโจทก์เปลี่ยนเป็นความรับผิดตามสัญญาประนีประนอมยอมความ หนี้ของนางจิริสุดาตามสัญญากู้เงินจึงระงับสิ้นไป จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินของนางจิริสุดาจึงหลุดพ้นจากความรับผิด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 698 โจทก์ไม่อาจฟ้องบังคับให้จำเลยรับผิดตามสัญญาค้ำประกันได้อีกต่อไป คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยเพราะไม่อาจทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไปได้ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้จำเลยรับผิดตามสัญญาค้ำประกันนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share