แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 เรียกให้โจทก์ชำระเป็นเงินถึง314,000 บาท แต่จำเลยที่ 1 ให้เวลาแก่โจทก์เพียง 3 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือทวงถามเห็นได้ชัดว่าเป็นระยะเวลาอันสั้นจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการกำหนดระยะเวลาพอสมควร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 เมื่อโจทก์ไม่ชำระเงินภายในกำหนด จำเลยที่ 1 ก็บอกเลิกสัญญาไม่ได้ โจทก์นำเงินไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง แต่จำเลยไม่ได้รับเงินไป โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเอาดอกเบี้ยจากจำเลยในจำนวนเงินดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันจัดสรรแบ่งขายที่ดินโฉนดเลขที่ 31316 แขวงบางขุนศรี เขตบางกอกน้อยกรุงเทพมหานคร ที่จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของร่วมกัน โดยขายพร้อมตึกแถว เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2528 โจทก์ทำสัญญาจองซื้อตึกแถว3 ชั้น 2 คูหา โจทก์ชำระเงินในวันทำสัญญาเป็นเงิน 60,000 บาทที่เหลือผ่อนชำระ 6 งวด ตามงานการก่อสร้าง ต่อมาจำเลยให้ทนายความมีหนังสือทวงถามค่างวดพร้อมดอกเบี้ย โจทก์จึงนำเงินไปชำระให้จำเลย 290,000 บาท แต่จำเลยไม่รับ โจทก์จึงนำเงินไปวางณ สำนักงานวางทรัพย์กลางจนครบ เมื่อรวมกับที่จำเลยรับไปก่อนแล้ว210,000 บาท จึงเป็นเงินที่โจทก์ชำระให้จำเลยครบตามสัญญาและโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยไปรับเงินที่วางไว้และจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมตึกแถวให้โจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย ทั้งยังสร้างตึกแถวพิพาทไม่เสร็จและได้สมคบกับจำเลยที่ 3 จดทะเบียนโอนขายเฉพาะที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้จำเลยที่ 3 ทั้งนี้จำเลยที่ 3 รับโอนโดยไม่สุจริต ไม่ได้ซื้อขายกันจริงและไม่ได้มีการชำระราคา ขอให้พิพากษาว่าการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 36280 และ36281 แขวงบางขุนศรี (บางขุนนนท์) เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานครระหว่างจำเลยที่ 2 และที่ 3 ฉบับลงวันที่ 26 เมษายน 2531เป็นโมฆะ ให้จำเลยทั้งสามจดทะเบียนโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 36280 และ 36281 พร้อมตึกแถวเลขที่ 513/184 และ 513/185ให้โจทก์โดยให้จำเลยรับเงินจำนวน 1,190,000 บาท ที่โจทก์วางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง แต่ให้หักเป็นค่าก่อสร้างที่ยังสร้างไม่เสร็จเป็นเงิน 100,000 บาท หากจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากสภาพแห่งหนี้ไม่อาจบังคับให้จำเลยทั้งสามจดทะเบียนโอนดังกล่าวได้ก็ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนเงินและใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์ 1,497,717 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จและให้โจทก์มีสิทธิรับเงินที่วางชำระ ณ สำนักงานวางทรัพย์กลาง1,190,000 บาทคืน หากจำเลยรับเงินดังกล่าวไปแล้ว ก็ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินดังกล่าวคืนโจทก์ และชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 1,190,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์จะได้รับคืนหรือจำเลยทั้งสามชำระเงินให้โจทก์เสร็จ
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ทำสัญญากับโจทก์จริง ขณะที่ทำสัญญายังไม่ทราบว่าอาคารที่จะปลูกสร้าง 2 คูหา อยู่บนที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่เท่าใด โจทก์ผิดสัญญาชำระเงินตามสัญญางวดที่ 1 ไม่ครบจำเลยที่ 1 ให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวให้โจทก์ชำระเงินงวดที่ 1ที่ค้างกับชำระเงินงวดที่ 2 ให้เสร็จตามกำหนด แต่โจทก์ไม่ชำระสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นอันยกเลิก จำเลยที่ 1 ไม่เคยตกลงกับโจทก์เรื่องเลื่อนกำหนดการชำระเงินค่างวด การที่โจทก์วางเงินไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์กลางเป็นการวางเงินภายหลังที่สัญญาเลิกกันแล้ว จำเลยที่ 2 ขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 3โดยสุจริตและจดทะเบียนโอนโดยชอบ ค่าขาดกำไรที่โจทก์อ้างว่าจะขายตึกพิพาทได้นั้นเป็นเพียงการคาดคะเน หากจำเลยที่ 1 จะรับผิดก็รับผิดเพียง 210,000 บาทกับค่าปรับอีก 1 เท่าตามสัญญาเท่านั้นขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า ได้ซื้อตึกพิพาทโดยสุจริต และจดทะเบียนโอนโดยถูกต้องตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2ร่วมกันชำระเงินให้โจทก์ 420,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จคดีเกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ให้ยกฟ้อง
โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันชำระเงินให้โจทก์ 210,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 60,000 บาท นับแต่วันที่ 19 ตุลาคม 2528 จนถึงวันฟ้องและของต้นเงิน 80,000 บาท นับแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2530จนถึงวันฟ้องกับของต้นเงิน 70,000 บาท นับแต่วันที่ 5 มิถุนายน 2530จนถึงวันฟ้องและชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน210,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 เรียกให้โจทก์ชำระตามเอกสารหมาย ล.1 นั้นคือเงินค่างวดที่ 1 ที่ค้างชำระจำนวน 70,000 บาท เงินค่างวดที่ 2 จำนวน 220,000 บาท ค่าดอกเบี้ยที่จำเลยที่ 1 เรียกเป็นค่าเสียหายอีก 20,000 บาท และค่าทวงถามของทนายความอีก 5,000 บาท รวมเป็นเงินถึง 315,000 บาท แต่จำเลยที่ 1 ให้เวลาแก่โจทก์เพียง 3 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือทวงถาม เห็นได้ชัดว่าจำเลยที่ 1 กำหนดเวลาให้โจทก์ชำระหนี้เงินจำนวนมากในระยะเวลาอันสั้นจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการกำหนดระยะเวลาพอสมควรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387ดังนั้น แม้โจทก์จะไม่ได้ชำระเงินดังกล่าวภายในกำหนด จำเลยที่ 1ก็บอกเลิกสัญญาไม่ได้ เช่นนี้สัญญาจะซื้อขายตึกแถวพร้อมที่ดินระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมาย จ.1 จึงยังมีผลบังคับต่อไป เมื่อโจทก์ได้รับหนังสือทวงถามดังกล่าวแล้ว โจทก์ขอชำระหนี้โดยชอบ แต่จำเลยที่ 1 ไม่รับ จนโจทก์ต้องวางเงินที่จะชำระหนี้ให้จำเลยที่ 1 ตามหนังสือทวงถามนั้นที่สำนักงานวางทรัพย์กลางกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2530 หลังจากโจทก์ได้รับหนังสือทวงถามแล้วเพียง 14 วัน และได้วางเงินชำระหนี้ให้จำเลยที่ 1 จนครบตามสัญญากับบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองโอนที่ดินพร้อมตึกแถวอาคารพิพาทให้โจทก์ตามเอกสารหมาย จ.9 แล้วจำเลยทั้งสองไม่โอนให้ จำเลยทั้งสองจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ส่วนปัญหาเรื่องดอกเบี้ยสำหรับเงินที่โจทก์นำไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดีนั้น ปรากฏว่าจำเลยไม่ได้รับเงินไปโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเอาดอกเบี้ยจากจำเลยในจำนวนเงินดังกล่าว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน