คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 194/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ร่วมถูกยิงอย่างกะทันหันโดยกระสุนปืนนัดแรกถากลำคอเป็นเหตุให้มีเลือดไหลย่อมจะตกใจกลัวและมุ่งแต่จะหลบหนีไม่น่าจะหันไปดูหน้าคนร้ายส่วน ณ. พยานโจทก์อีกปากหนึ่งซึ่งเป็นบุตรของโจทก์ร่วมที่อยู่ในที่เกิดเหตุด้วยหันไปดูหลังจากเสียงปืนดัง2นัดช่วงนั้นคนร้ายยิงปืนเสร็จคงจะหลบหนีไปแล้วอีกทั้งพยานสองปากนี้เบิกความถึงจุดที่คนร้ายใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมขัดกับการนำชี้ที่ปรากฏในบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุชั้นสอบสวนของ ท. ซึ่งเป็นภริยาของโจทก์ร่วมที่อยู่ในที่เกิดเหตุด้วยประกอบกับขณะที่ณ. และ ท. ส่งโจทก์ร่วมไปรักษาตัวไม่มีผู้ใดพูดถึงชื่อคนร้ายและเมื่อ ท. ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนก็ไม่ยอมระบุชื่อคนร้ายโดยอ้างว่าจะไปปรึกษากับโจทก์ร่วมและบุตรก่อนแล้วจะไประบุชื่อคนร้ายภายหลังจึงไม่น่าเชื่อว่าโจทก์ร่วม ณ. และ ท.จะเห็นหน้าคนร้ายส่วน ค. ซึ่งเป็นบุตรของโจทก์ร่วมอีกคนหนึ่งที่เบิกความว่าก่อนเกิดเหตุเห็นจำเลยถืออาวุธปืนอยู่กับพวกที่ข้างรั้วบ้านแต่พยานกลับมานอนต่อที่บ้านโดยไม่ยอมบอกผู้ใดทราบก็ไม่น่าเชื่อถือเพราะขณะนั้นมีข่าวการว่าจ้างให้ไปยิงโจทก์ร่วมอยู่ในช่วงที่ต้องระมัดระวังตัวแล้วพยานโจทก์และโจทก์ร่วมที่สืบมายังเป็นที่สงสัยว่าประจักษ์พยานจะเห็นหน้าจำเลยว่าเป็นคนร้ายที่กระทำผิดหรือไม่จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ว่า เมื่อ วันที่ 31 มีนาคม 2535 เวลา กลางคืนก่อน เที่ยง จำเลย กับพวก อีก 1 คน ได้ ร่วมกัน ใช้ อาวุธปืน ยิง นาย ปลื้ม จันทองพูน ผู้เสียหาย โดย เจตนาฆ่า กระสุนปืน ถูก ผู้เสียหาย บริเวณ แขน ซ้าย และ ข้อมือ ขวา เป็นเหตุ ให้ ได้รับ อันตรายสาหัสต้อง ป่วย เจ็บ ด้วย อาการ ทุกขเวทนา และ ประกอบ กรณียกิจ ตาม ปกติ ไม่ได้เกินกว่า 20 วัน เหตุ เกิด ที่ ตำบล ทุ่งหมอ อำเภอสะเดา จังหวัด สงขลา เจ้าพนักงาน ยึด ได้ ปลอก กระสุนปืน 2 ปลอก เป็น ของกลาง ขอให้ ลงโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 83 และ ริบ ปลอก กระสุนปืนของกลาง
จำเลย ให้การ ปฏิเสธ
ระหว่าง พิจารณา นาย ปลื้ม จันทองพูน ผู้เสียหาย ยื่น คำร้อง ขอ เข้าร่วม เป็น โจทก์ ศาลชั้นต้น อนุญาต
ศาลชั้นต้น พิพากษา ว่า จำเลย มี ความผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบ มาตรา 80, 83 จำคุก 10 ปี ริบ ปลอก กระสุนปืน ของกลาง
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้องโจทก์ ปลอก กระสุนปืนของกลาง ให้ริบ
โจทก์ และ โจทก์ร่วม ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “ทางพิจารณา โจทก์ และ โจทก์ร่วม นำสืบ ว่า บ้านของ โจทก์ร่วม มี ประตู เข้า ออก รวม 3 ประตู คือ ประตู หน้า บ้าน และประตู ข้าง อีก 2 ประตู ที่ บ้าน โจทก์ร่วม ไม่มี ไฟฟ้า ใช้ เมื่อ วันที่ 31มีนาคม 2535 เวลา ประมาณ 5 นาฬิกา โจทก์ร่วม เตรียม ตัว จะ ไป กรีด ยางภายใน บ้าน จุด ตะเกียง น้ำมันก๊าด 1 ดวง ตั้ง อยู่ บน โต๊ะ ห่าง โจทก์ร่วมประมาณ 2 วา และ มี ตะเกียง แก๊ส ตั้ง อยู่ ห่าง ประตู บ้าน ประมาณ 3 เมตรนาง เทียบ จันทองพูน ภริยา โจทก์ร่วม ได้ ปลุก นาย ณรงศักดิ์ และ เด็ก ชาย คล่องประสิทธิ์ จันทองพูน บุตรชาย ทั้ง สอง ตื่น ขึ้น เตรียม ตัว ไป กรีด ยาง นาย ณรงค์ศักดิ์ ตื่น แล้ว ไป นอน เล่น ที่ เก้าอี้ หวาย ข้าง โจทก์ร่วม ส่วน เด็ก ชาย คล่องประสิทธิ์ ออก ไป ปัสสาวะ ที่ นอกบ้าน เห็น จำเลย และ นาย ยิ่ง หนูนวล ด้าน ข้าง ขณะ ปัสสาวะ อยู่ ห่าง จำเลย ประมาณ 2 เมตร จำเลย ยืน ถือ อาวุธปืน ยาว อยู่ กับ นาย ยิ่ง ที่ โอ่งน้ำ บริเวณ รั้ว บ้าน เมื่อ เด็ก ชาย คล่องประสิทธิ์ ปัสสาวะ เสร็จ ก็ เข้า ไป ใน บ้าน นั่ง ใกล้ กับ โจทก์ร่วม ส่วน นาง เทียบ ไป แต่ง ตัว ที่ หลังบ้าน เพื่อ ไป กรีด ยาง ด้วยกัน ขณะที่ โจทก์ร่วม กำลัง กรอก น้ำ ใส่ ตะเกียง แก๊สที่ ใช้ ใน การ กรีด ยาง มี เสียง ปืน ดัง 1 นัด จาก ที่ ประตู ข้าง ที่ 1กระสุนปืน เฉี่ยว บริเวณ คอ ของ โจทก์ร่วม ทำให้ มี เลือดไหล เมื่อ โจทก์ร่วมหัน ไป ดู ที่ ประตู ข้าง ที่ 1 อาศัย แสง จาก ตะเกียง ภายใน บ้าน เห็น จำเลยยืน อยู่ กับ นาย ยิ่ง ขณะ นั้น โจทก์ร่วม ตกใจ อยู่ ไม่ ทัน สังเกต ว่า จำเลย และ นาย ยิ่ง จะ มี อาวุธ หรือไม่ โจทก์ร่วม ถูก ยิง แล้ว เอี้ยว ตัว จะ หลบหนี ก็ มี เสียง ปืน ดัง ขึ้น จาก ทิศ เดียว กัน อีก 1 นัด กระสุนปืน ถูก โจทก์ร่วมที่ ไหล่ ซ้าย ทะลุ ที่ อก และ ที่ มือขวา ทำให้ กระดูก ต้น แขน ซ้าย และข้อมือ ขวา แตก เมื่อ ถูก ยิง ถึง 2 นัด โจทก์ร่วม ร้อง ว่า ตะเกียง ระเบิดเหตุ ที่ ร้อง เช่นนี้ เพื่อ ให้ บุตรชาย ทั้ง สอง ตื่น ขึ้น โดย ไม่ ตกใจ หลังจากเสียง ปืน 2 นัด แล้ว นาง เทียบ ซึ่ง อยู่ ที่ หลังบ้าน คิดว่า พวก ขนของ หนี ภาษี ไล่ยิง กัน ที่ หน้า บ้าน จึง วิ่ง ออก ไป ดู ว่า ได้ ทิ้ง สิ่งของ หนี ภาษี ไว้หรือไม่ ขณะ นั้น นาง เทียบ คาด ตะเกียง แก๊ส อยู่ ที่ ศีรษะ อยู่ แล้ว เมื่อ วิ่ง ออกจาก ประตู ข้าง ที่ 2 ได้ 3 ถึง 4 เมตร เห็น จำเลย ถืออาวุธปืน ยาว กับ นาย ยิ่ง ยืน อยู่ ที่ นอกบ้าน ห่าง ประตู ข้าง ที่ 1 ประมาณ 1 ช่วง แขน เมื่อ จำเลย และ นาย ยิ่ง เห็น นาง เทียบ ก็ วิ่ง ออก หน้า บ้าน ไป นาง เทียบ เห็น โจทก์ร่วม ได้รับ บาดเจ็บ จึง ร่วม กับ นาย ณรงค์ศักดิ์ พา โจทก์ร่วม ขึ้น รถ ไป รักษา ที่ โรงพยาบาล หาดใหญ่ มี ชาวบ้าน ไป ด้วย เกือบ เต็ม คัน รถ วันเกิดเหตุ เวลา 13 นาฬิกา นาง เทียบ ไป แจ้งความ ต่อ ร้อยตำรวจเอก สรพล เจริญวงศ์ พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธร อำเภอ สะเดาโดย แจ้ง ว่า จำ หน้า คนร้าย ได้ แต่ ขอบ อก ชื่อ ใน ภายหลังเมื่อ รับ แจ้ง แล้ว พนักงานสอบสวน ไป ตรวจ ดู ที่เกิดเหตุ ทำแผน ที่เกิดเหตุและ บันทึก การ ตรวจ สถานที่เกิดเหตุ ต่อมา อีก เกือบ 2 เดือน สอบ คำให้การนาง เทียบ และ โจทก์ร่วม เพิ่มเติม นาง เทียบ และ โจทก์ร่วม จึง ระบุ ชื่อ จำเลย เป็น คนร้าย โจทก์ร่วม ได้รับ บาดเจ็บ ทำให้ กระดูก ต้น แขน ซ้ายและ กระดูก ข้อมือ ขวา แตก ใช้ เวลา รักษา รวม 3 เดือน เมื่อ ประมาณ4 ปี ก่อน เกิดเหตุ นาย ณรงค์ศักดิ์ เคย ถูก กล่าวหา ว่า ไป ฆ่า นาย ชาลี มุนีแนม คู่ เขยของ จำเลย และ นาย ยิ่ง และ ถูก ฟ้อง ดำเนินคดี แต่ ศาล พิพากษายก ฟ้อง มี คน ไป บอก โจทก์ร่วม ว่า บิดา ของ นาย ชาลี ได้ว่า จ้าง ให้ คน ไป ยิง โจทก์ร่วม วันที่ 11 มิถุนายน 2535 นาย ดาบตำรวจ สมบูรณ์ มงคลรัฐสกุล จับ จำเลย ได้ ชั้น จับกุม และ ชั้นสอบสวน จำเลย ให้การ ปฏิเสธ
จำเลย นำสืบ ว่า จำเลย เป็น อาสา รักษา ดินแดน วันเกิดเหตุจำเลย เข้า เวรยาม อยู่ ที่ ที่ว่าการ อำเภอ สะเดา ตั้งแต่ เวลา 18นาฬิกา ของ วันที่ 31 มีนาคม 2535 ถึง 6 นาฬิกา ของ วันที่ 1 เมษายน2535 จำเลย ปฏิบัติ หน้าที่ อยู่ ตลอด เวลา
พิเคราะห์ แล้ว ข้อเท็จจริง ใน เบื้องต้น ฟังได้ ว่า เมื่อ วันที่31 มีนาคม 2535 เวลา ประมาณ 4 นาฬิกา ได้ มี คนร้าย ใช้ อาวุธปืนขนาด .223 ยิง โจทก์ร่วม ได้รับ อันตรายสาหัส ปัญหา ที่ ต้อง วินิจฉัยมี ว่า จำเลย ได้ กระทำผิด ตาม ฟ้อง หรือไม่ โจทก์ร่วม เบิกความ ว่าวัน เวลา เกิดเหตุ โจทก์ร่วม ตื่น นอน แล้ว เตรียม ตัว จะ ไป กรีด ยาง มีตะเกียง น้ำมันก๊าด และ ตะเกียง แก๊ส ที่ ใช้ กรีด ยาง ตั้ง อยู่ บน โต๊ะ ใกล้กับ โจทก์ร่วม นาย ณรงค์ศักดิ์ และ เด็ก ชาย คล่องประสิทธิ์ บุตร ทั้ง สอง นอน อยู่ ข้าง ๆ ขณะที่ โจทก์ร่วม นั่ง กรอก น้ำ ใส่ ตะเกียง แก๊สอีก ดวง หนึ่ง มี เสียง ปืน ดัง ขึ้น 1 นัด จาก ประตู ข้าง ที่ 1 กระสุนปืน ถากลำคอ โจทก์ร่วม ไป ทำให้ มี เลือดไหล โจทก์ร่วม หัน ไป ดู เห็น จำเลยยืน อยู่ กับ นาย ยิ่ง หนูนวล เนื่องจาก ตกใจ ไม่ ทัน ดู ว่า บุคคล ทั้ง สอง จะ มี อาวุธ ใด หรือไม่ เมื่อ โจทก์ร่วม เอี้ยว ตัว จะ หลบหนี มี เสียง ปืนดัง จาก ทิศ เดียว กัน อีก 1 นัด กระสุนปืน ถูก บริเวณ ไหล่ ซ้าย ทะลุ ออก ที่หน้าอก ซ้าย และ ที่ มือ ข้าง ขวา โจทก์ร่วม ตะโกน ว่า ตะเกียง ระเบิดเพื่อ ให้ บุตรชาย ตื่น ขึ้น โดย ไม่ ตกใจ เมื่อ คนร้าย หลบหนี ไป แล้วนาง เทียบ ภริยา โจทก์ร่วม และ นาย ณรงค์ศักดิ์ หารถพา โจทก์ร่วม ไป รักษา ตัว ที่ โรงพยาบาล หาดใหญ่ มี ญาติ และ เพื่อนบ้าน ไป ส่ง เกือบ เต็ม คัน รถ โจทก์ร่วม มิได้ พูด กับ ภริยา และ บุตร เพราะ เจ็บปวด และ เสีย เลือดหลังจาก รักษา ตัว ได้ 15 วัน นาง เทียบ เล่า ให้ ฟัง ว่า หลังจาก เสียง ปืน ดัง 2 นัด แล้ว นาง เทียบ วิ่ง ออกจาก ห้อง ไป ดู ที่ นอกบ้าน คนร้าย วิ่ง ชน กับ นาง เทียบ ที่ ประตู ข้าง ที่ 2 นาย ณรงค์ศักดิ์ จันทองพูน บุตรชาย โจทก์ร่วม เบิกความ ว่า เมื่อ เสียง ปืน ดัง ขึ้น 2 นัด แล้ว พยาน หัน ไป ดูเห็น จำเลย ยืน อยู่ ชิด กับ ประตู และ มี นาย ยิ่ง ยืน ถัด ไป ด้านหลัง จำเลย ลด ปาก กระบอกปืน แล้ว ถือ แนบ กับ ตัว ประมาณ 5 วินาที ก็ หลบหนี ไประหว่าง ที่ นำ โจทก์ร่วม ไป ส่ง โรงพยาบาล ไม่มี ผู้ใด พูด ถึง จำเลย ว่า เป็นคนร้าย หลัง เกิดเหตุ แล้ว 2 วัน พยาน ได้ บอก นาง เทียบ มารดา ว่า จำเลย เป็น คนร้าย ที่ ยิง โจทก์ร่วม เห็นว่า ขณะที่ คนร้าย ใช้ อาวุธปืน ยิงโจทก์ร่วม นั้น หาก โจทก์ร่วม และ นาย ณรงค์ศักดิ์ หัน ไป ดู ย่อม จะ มี โอกาส เห็น หน้า คนร้าย ได้ ตาม ที่ โจทก์ร่วม เบิกความ ว่า หลังจาก ถูก ยิงนัด ที่ 1 กระสุนปืน ถากลำคอ ไป แล้ว ก็ หัน ไป ดู ได้ เห็น หน้า คนร้าย นั้นเนื่องจาก ขณะ นั้น โจทก์ร่วม ถูก กระสุนปืน ยิง อย่าง กะทันหัน ย่อม จะ ตกใจกลัว และ มุ่ง แต่ จะ หลบหนี ไม่ น่า จะ หัน ไป ดู หน้า คนร้าย ส่วนนาย ณรงค์ศักดิ์ หัน ไป ดู หลังจาก เสียง ปืน ดัง 2 นัด ช่วง นั้น คนร้าย ยิง ปืน เสร็จ คง จะ หลบหนี ไป แล้ว ข้อ ที่ โจทก์ร่วม และนาย ณรงค์ศักดิ์ เบิกความ ว่า ได้ เห็น คนร้าย ยืน ยิง อยู่ ที่ ประตู ข้าง ที่ 1 นั้น ศาลฎีกา ตรวจ ดู บันทึก การ ตรวจ สถานที่เกิดเหตุ ตาม เอกสารหมาย ป.จ. 1 ซึ่ง เป็น บันทึก เหตุการณ์ ตาม ที่นา ง เทียบ นำ ชี้ มี ข้อความ ว่า ขณะ เกิดเหตุ มี คนร้าย จำนวน 2 คน ปืน ขึ้น ไป ทาง ช่องลม หน้า บ้านใช้ อาวุธปืน ยิง ไป ที่ โจทก์ร่วม ติดต่อ กัน รวม 2 นัด จาก บันทึก การ ตรวจสถานที่เกิดเหตุ ฉบับนี้ ฟังได้ ว่า ขณะ กระทำ ความผิด นั้น คนร้าย ปืน ขึ้นไป ยิง ที่ ช่องลม หน้า บ้าน มิใช่ ยืน ยิง ที่ ประตู ข้าง ที่ 1 ประกอบ กับ ขณะส่ง โจทก์ร่วม ไป รักษา ตัว ไม่มี ผู้ใด พูด ถึง ชื่อ คนร้าย จึง ไม่ เชื่อ ว่าโจทก์ร่วม และ นาย ณรงค์ศักดิ์ จะ เห็น หน้า คนร้าย ที่ ใช้ อาวุธปืน ยิง โจทก์ร่วม ได้ พยานโจทก์ และ โจทก์ร่วม ปาก ต่อไป คือ นาง เทียบ ภริยา โจทก์ร่วม เบิกความ ว่า ก่อน เกิดเหตุ พยาน แต่ง ตัว เพื่อ จะ ไป กรีด ยางที่ หลังบ้าน ใกล้ ประตู ข้าง ที่ 2 ได้ คาด ตะเกียง แก๊ส ที่ ศีรษะ และ จุด ไฟแล้ว ขณะ สวม กางเกง อยู่ ได้ยิน เสียง ปืน ดัง ขึ้น 2 นัด เข้าใจ ว่า พวก ขนสินค้า หนี ภาษี ยิง กัน ที่ หน้า บ้าน พยาน อยาก รู้ ว่า พ่อค้า ขนของ หนี ภาษีจะ ทิ้ง ของ หนี ภาษี ที่ หน้า บ้าน หรือไม่ จึง วิ่ง ออก ไป ดู เมื่อ ออกจากประตู ข้าง ที่ 2 ได้ 2 ถึง 3 เมตร อาศัย แสง สว่าง จาก ตะเกียง แก๊สที่ คาด อยู่ บน ศีรษะ เห็น จำเลย กับ นาย ยิ่ง ยืน อยู่ ที่ นอกบ้าน ห่าง ประตู ที่ 1 ประมาณ 1 ช่วง แขน แต่ นาง เทียบ ก็ ได้ เบิกความ เช่นเดียว กับ พยาน ปาก อื่น ว่า ระหว่าง นำ โจทก์ร่วม ไป รักษา ที่ โรงพยาบาล หาดใหญ่ พยาน และ โจทก์ร่วม รวมทั้ง บุตร ทุกคน ไม่มี ผู้ใด พูด ถึง คนร้าย โดยเฉพาะ วันเกิดเหตุ นั้นเอง เวลา 13 นาฬิกา พยาน ไป แจ้งความ ต่อร้อยตำรวจเอก สรพล เจริญวงศ์ พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธร อำเภอ สะเดาก็ ไม่ยอม ระบุ ชื่อ คนร้าย อ้างว่า จะ ไป ปรึกษา กับ โจทก์ร่วมและ บุตร ก่อน แล้ว จะ ไป ระบุ ชื่อ คนร้าย ภายหลัง พยาน อธิบาย เหตุผลที่ ไม่ยอม ระบุ ชื่อ คนร้าย ว่า เพราะ อยู่ บ้าน คนเดียว กลัว ถูก ทำร้าย และ รอว่า จำเลย จะ ยินยอม ชดใช้ ค่าเสียหาย หรือไม่ หาก ชดใช้ เป็น ที่ พอใจจะ ไม่ติดใจ ดำเนินคดี การ ที่นา ง เทียบ ไป แจ้งความ โดย ไม่ยอม บอก ชื่อ คนร้าย โดย อ้างว่า กลัว ถูก ทำร้าย นั้น โจทก์ และ โจทก์ร่วม กลับ นำนาย ดาบตำรวจ อาภรณ์ นิลพันธ์ มา เป็น พยาน โดย นาย ดาบตำรวจ อาภรณ์ เบิกความ ว่า พนักงานสอบสวน ไป ตรวจสอบ สถานที่เกิดเหตุ พยาน ไป รอพนักงานสอบสวน ที่ บ้าน โจทก์ร่วม ได้ เรียก นาง เทียบ ไป สอบถาม ข้อเท็จจริง และ รับ ว่า จะ คุ้มกัน ให้ นาง เทียบ จึง บอก ว่า เห็น จำเลย และ นาย ยิ่ง ออกจาก บ้าน ที่เกิดเหตุ แต่เมื่อ ร้อยตำรวจเอก สรพล ไป ถึง ทั้ง นาง เทียบ และ นาย ดาบ อาภรณ์ ต่าง ไม่ได้ แจ้ง ให้ ทราบ การ ที่ นาง เทียบ ได้ บอก ชื่อ คนร้าย ให้ เจ้าพนักงาน ตำรวจ ผู้อื่น ฟัง แต่ กลับ ไม่ได้ บอก ต่อ พนักงานสอบสวน โดย อ้างว่า กลัว จำเลย นั้น ไม่มี น้ำหนักรับฟัง และ ที่ อ้างว่า เพื่อ รอ ให้ จำเลย ไป ติดต่อ ชดใช้ ค่าเสียหาย นั้นยิ่ง ไม่มี เหตุผล เพราะ พยาน ตั้งใจ ให้การ ได้ หลาย รูป แบบ โดย มิได้ตั้ง อยู่ ใน ฐาน แห่ง ความ เป็น จริง ไม่มี เหตุผล น่าเชื่อ ถือ นอกจาก นี้ ยังได้ความ จาก โจทก์ร่วม เบิกความ ถึง ลักษณะ ที่นา ง เทียบ พบ เห็น คนร้าย ว่า หลังจาก โจทก์ร่วม นอน พัก รักษา ตัว อยู่ ที่ โรงพยาบาล หาดใหญ่ ได้ 15 วัน นาง เทียบ ได้ เล่า ให้ ฟัง ว่า วันเกิดเหตุ เมื่อ สิ้น เสียง ปืน 2 นัด นาง เทียบ วิ่ง ออก ไป ดู คนร้าย ที่ นอกบ้าน พบ จำเลย และ นาย ยิ่ง เพราะ วิ่ง ไป ชน กับ นาง เทียบ ที่ ประตู ข้าง ที่ 2 ยิ่ง เป็นเหตุ ให้ สงสัย ว่าการ ที่นา ง เทียบ วิ่ง ออก มาจาก หลังบ้าน นั้น นาง เทียบ ได้ คาด ตะเกียง แก๊ส ที่ ศีรษะ และ จุด ไฟ แล้ว หรือไม่ เพราะ ถ้า ได้ จุด ไฟและ มี แสง สว่าง จาก ตะเกียง แก๊ส คนร้าย ก็ ไม่ น่า จะ วิ่ง ไป ชน นาง เทียบ ส่วน ที่ เด็ก ชาย คล่องประสิทธิ์ เบิกความ ว่า เมื่อ ตื่น นอน แล้ว ออก ไป ปัสสาวะ ก่อน เห็น จำเลย ถือ อาวุธปืน อยู่ กับ นาย ยิ่ง ที่ โอ่งน้ำ ข้าง รั้ว บ้าน ห่าง พยาน เพียง 2 เมตร นั้น พยาน ก็ เบิกความ รับ ว่า ที่ บ้านโจทก์ร่วม มี ห้องน้ำ อยู่ แล้ว จึง ไม่ น่า จะ ออก ไป ปัสสาวะ ที่ นอกบ้านและ ถ้าหาก พยาน ปาก นี้ เห็น จำเลย ถือ อาวุธปืน ใน ลักษณะ เช่นนี้ ย่อม จะต้อง แจ้ง ให้ โจทก์ร่วม ผู้เป็น บิดา ทราบ เพราะ ขณะ นั้น มี ข่าว การ ว่าจ้างให้ ไป ยิง โจทก์ร่วม อยู่ ใน ช่วง ที่ ต้อง ระมัดระวัง ตัว แต่ พยาน เห็น แล้วกลับมา นอน ต่อ ที่ บ้าน ไม่ยอม บอก ผู้ใด ทราบ คำเบิกความ ของ พยาน นี้จึง ไม่น่าเชื่อถือ เช่นเดียวกัน พยานโจทก์ และ โจทก์ร่วม ที่ สืบ มา ยังเป็น ที่ สงสัย ว่า ประจักษ์พยาน จะ เห็น หน้า จำเลย ว่า เป็น คนร้าย ที่กระทำผิด หรือไม่ จึง ให้ยก ประโยชน์ แห่ง ความ สงสัย ให้ จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษา ให้ยก ฟ้องโจทก์ นั้น ศาลฎีกา เห็นพ้อง ด้วย ฎีกา ของ โจทก์และ โจทก์ร่วม ฟังไม่ขึ้น ”
พิพากษายืน

Share