คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6455/2551

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีก่อนจำเลยฟ้องโจทก์ขอใช้ทางโดยระบุว่าเป็นทางจำเป็น คดีถึงที่สุดแล้วโดยศาลฟังว่าเป็นทางจำเป็น คำพิพากษาดังกล่าวจึงผูกพันโจทก์และจำเลยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง จำเลยจึงไม่อาจกล่าวอ้างในภายหลังว่าเป็นทางภาระจำยอม คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระค่าทดแทนการใช้ทางจำเป็นแก่โจทก์ การที่จำเลยฟ้องแย้งว่าเป็นทางภาระจำยอม โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนจากจำเลย ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาว่าเป็นทางภาระจำยอม จึงเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 ทั้งต้องฟังว่าที่ดินของโจทก์เป็นทางจำเป็น โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเงินค่าทดแทนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 25503 จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 32987 ถึง 32990 จำเลยเคยฟ้องโจทก์เป็นคดีแพ่งขอให้เปิดที่ดินของโจทก์ตามโฉนดที่ดินดังกล่าวเป็นทางจำเป็น กว้าง 6 เมตร ยาว 200 เมตร และศาลชั้นต้นพิพากษาให้เป็นทางจำเป็น คดีถึงที่สุด โจทก์ขอคิดค่าทดแทนเดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษา (3 ธันวาคม 2539) ถึงวันฟ้องเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน เป็นเงิน 180,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าทดแทนที่ดินแก่โจทก์ 180,000 บาท กับให้ใช้ค่าทดแทนที่ดินแก่โจทก์เดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะเลิกใช้ที่ดินโจทก์เป็นทางจำเป็น
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า นายนันทวัฒน์ บิดาโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 6175 โดยที่ดินแปลงดังกล่าวตกอยู่ในบังคับภาระจำยอมของที่ดินโฉนดเลขที่ 32989 ถึง 32995 และศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 25503 เป็นภาระจำยอมของที่ดินโฉนดเลขที่ 33005, 32994 และ 32995 ทางภาระจำยอมบนที่ดินโฉนดเลขที่ 25503 เป็นทางที่เชื่อมต่อจากทางภาระจำยอมบนที่ดินโฉนดเลขที่ 6175 ดังนั้นที่ดินโฉนดเลขที่ 25503 ของโจทก์จึงตกเป็นทางภาระจำยอมของที่ดินจำเลยทั้ง 4 แปลง โจทก์จึงไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องเรียกค่าทดแทนจากจำเลย ขอให้ยกฟ้องและมีคำพิพากษาให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 25503 เป็นทางภาระจำยอม
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมเพราะโจทก์ฟ้องเรียกค่าทดแทนจากการใช้ประโยชน์ในที่ดินอันเป็นทางจำเป็นตามคำพิพากษา และคดีถึงที่สุดแล้ว ประกอบกับทางภาระจำยอมที่ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 6175 ของบิดาโจทก์นั้น เป็นที่ดินคนละแปลงกับที่ดินของจำเลย ทั้งข้ออ้างที่ว่าที่ดินของโจทก์เป็นทางภาระจำยอมก็ไม่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ โจทก์ไม่เคยยิมยอมให้ผู้ใดใช้ทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอม ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าทดแทนการใช้ทางจำเป็น เดือนละ 4,000 บาท แก่โจทก์ นับตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2539 เป็นต้นไป จนกว่าจะเลิกใช้ทางจำเป็น ยกฟ้องแย้งของจำเลยกับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชดใช้ค่าทดแทนการใช้ทางจำเป็น เดือนละ 2,500 บาท แก่โจทก์ นับตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2539 ไปจนกว่าจะเลิกใช้ทางจำเป็น นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้ค่าทนายความในศาลชั้นต้น 9,000 บาท ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์เป็นพับ คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกินจากทุนทรัพย์ 72,000 บาท ให้จำเลย
โจทก์และจำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีรับรองว่า ฎีกาของโจทก์มีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 25503 ตำบลกระทุ่มล้ม อำเภอสามพราน (ตลาดใหม่) จังหวัดนครปฐม (นครชัยศรี) เมื่อปี 2537 จำเลยยื่นฟ้องโจทก์เป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2025/2539 ของศาลชั้นต้น ขอให้เปิดทางซึ่งอยู่บนที่ดินโฉนดดังกล่าวโดยอ้างว่าเป็นทางจำเป็น และศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้เปิดทางจำเป็นบทที่ดินของโจทก์ คดีถึงที่สุดแล้วจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 32987 ถึง 32990 ซึ่งเป็นที่ดินที่นายนันทวัฒน์ บิดาโจทก์จัดสรรขาย จำเลยสร้างโรงงานผลิตกล่องกระดาษบนที่ดินดังกล่าวและใช้รถบรรทุกแล่นผ่านเข้าออกบนที่ดินของโจทก์
มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ทางบนที่ดินโฉนดเลขที่ 25503 ของโจทก์เป็นทางภาระจำยอมหรือไม่ เห็นว่า จำเลยเคยยื่นฟ้องโจทก์ขอใช้ทางดังกล่าวโดยระบุข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าเป็นทางจำเป็น คดีถึงที่สุดแล้ว โดยศาลฟังว่าเป็นทางจำเป็นตามที่จำเลยยื่นฟ้อง คำพิพากษาดังกล่าวจึงผูกพันโจทก์และจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง จำเลยจึงไม่อาจกล่าวอ้างในภายหลังว่าทางดังกล่าวเป็นทางภาระจำยอม การที่จำเลยฟ้องแย้งว่าเป็นทางภาระจำยอม จึงเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ดังนั้น จึงต้องฟังว่าที่ดินของโจทก์เป็นทางจำเป็น โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเงินค่าทดแทน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์สมควรได้รับค่าทดแทนเดือนละ 4,000 บาท หรือไม่ เห็นว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 25503 ของโจทก์ตกเป็นทางภาระจำเลยของที่ดินอีกหลายแปลงมีสภาพเป็นทาง โจทก์ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นได้ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 กำหนดค่าทดแทนให้แก่โจทก์เดือนละ 2,500 บาท เท่าที่จำเลยเคยเช่ากับโจทก์จึงเป็นจำนวนที่เหมาะสมแล้ว ฎีกาของโจทก์และจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ทุนทรัพย์พิพาทในชั้นฎีกาของโจทก์เป็นเงิน 27,000 บาท ค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเป็นเงิน 675 บาท แต่โจทก์เสียมา 1,800 บาท จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เหลือ 1,125 บาท แก่โจทก์”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกิน 1,125 บาท แก่โจทก์

Share