คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 990/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คดีที่อุทธรณ์ได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย การนำข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นรับฟังมาจากพยานหลักฐานในสำนวนเพื่อปรับกับบทมาตราที่โจทก์ฟ้องเป็นปัญหาโดยตรงในการวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมายังไม่ชัดเจนพอศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นรับฟังมาให้ชัดเจนขึ้นได้ โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองอาคาร ซึ่งปลูกสร้างรุกล้ำถนนสาธารณะและเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 9, 108ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2515 ข้อ 11ให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินที่รุกล้ำ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ให้จำคุก 3 เดือน ปรับ 2,000 บาทไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ภายในกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30ส่วนคำขอที่ให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินที่รุกล้ำให้ยกเสีย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้ครอบครองอาคารพิพาทมาก่อนวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์2515 ใช้บังคับ เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกประเด็นที่โจทก์อุทธรณ์นั้น คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าอาคารพิพาทได้ปลูกสร้างมานาน 40 ปี แล้ว ก่อนที่บิดาจำเลยจะซื้อมาและได้ปลูกสร้างรุกล้ำถนนสุริยราชและถนนกรุงศรีนอก ซึ่งเป็นถนนสาธารณะ ต่อมาบิดาจำเลยได้ยกอาคารพิพาทให้จำเลย ซึ่งศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า แม้จะฟังว่าจำเลยเป็นเจ้าของอาคารพิพาทซึ่งรุกล้ำถนนสาธารณะ แต่ฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ปลูกสร้างอาคารพิพาทจะถือว่าจำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองถนนสาธารณะโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายยังไม่ได้ พิพากษายกฟ้องด้วยข้อกฎหมาย โจทก์อุทธรณ์ว่า การที่จำเลยเป็นเจ้าของและครอบครองอาคารพิพาทส่วนที่รุกล้ำถนนสาธารณะแม้จะมิใช่เป็นผู้ปลูกสร้างอาคารพิพาท ก็เป็นความผิดตามฟ้องศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นฟังยุติมาแล้ววินิจฉัยว่า การที่จำเลยเป็นเจ้าของและครอบครองอาคารพิพาท จำเลยไม่มีสิทธิครอบครองอาคารพิพาทในส่วนที่รุกล้ำถนนสาธารณะซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน การกระทำของจำเลยจึงเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นว่าศาลชั้นต้นยังไม่ระบุชัดว่า จำเลยครอบครองอาคารพิพาทมาก่อนวันที่ 4 มีนาคม2515 ซึ่งเป็นวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96 ใช้บังคับหรือไม่ จึงฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยครอบครองอาคารพิพาทมาก่อนประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวใช้บังคับ เพื่อปรับกับบทกฎหมายตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 แล้วพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้องเห็นว่า คดีที่อุทธรณ์ได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย การนำข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นรับฟังมาจากพยานหลักฐานในสำนวนเพื่อปรับกับบทมาตราที่โจทก์ฟ้องเป็นปัญหาโดยตรงในการวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมายังไม่ชัดเจนพอ ทั้งไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหาข้อกฎหมายที่อ้างเป็นเหตุยกฟ้องโจทก์เช่นนี้ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นสมควรก็ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นรับฟังมาให้ชัดเจนขึ้นได้ โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้นชอบด้วยกระบวนพิจารณาและไม่เป็นการนอกประเด็นตามที่โจทก์อุทธรณ์แต่อย่างใด ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share