คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4708/2551

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลพิพากษาให้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสองย่อมมีสิทธิได้รับค่าทดแทนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคท้าย ซึ่งจำเลยทั้งสองได้ฟ้องเรียกค่าทดแทนมาด้วย โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าค่าทดแทนดังกล่าวสูงเกินสมควร ประเด็นเรื่องค่าทดแทนจึงมีอยู่แล้วตามฟ้องแย้งและคำให้การแก้ฟ้องแย้ง แม้จำเลยทั้งสองจะนำสืบถึงจำนวนค่าทดแทนไม่ได้ตามฟ้องแย้ง ศาลก็มีอำนาจวินิจฉัยว่าสมควรให้ค่าทดแทนเพียงใดได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 1813 เนื้อที่ 6 ไร่ 1 งาน 60 ตารางวา ทิศเหนือติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 1814 ของจำเลยที่ 1 ทิศใต้ติดที่ดินโฉนดเลขที่ 1812 ของเด็กชายสุทธิชัย ทิศตะวันออกติดที่ดินโฉนดเลขที่ 1822 ของกองทุนรวมบางกอกแคปปิตอล ทิศตะวันตกติดที่ดินโฉนดเลขที่ 1809 ของนางประภา ที่ดินของโจทก์ถูกล้อมรอบไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นทางออกสู่ทางสาธารณะเป็นเวลานานเกินกว่า 50 ปีแล้ว ต่อมาในปี 2543 ถึงปี 2544 จำเลยทั้งสองหวงห้ามไม่ยอมให้โจทก์เดินผ่านที่ดินเพื่อเข้าไปทำนา ทำให้โจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 เปิดทางจำเป็นในที่ดินโฉนดเลขที่ 1814 ตำบลหัวเวียง (บางกะทิง) อำเภอเสนา (เสนากลาง) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (กรุงเก่า) ด้านทิศตะวันตก กว้าง 3.5 เมตร ยาวตลอดจากทิศใต้ไปทิศเหนือ และให้จำเลยที่ 2 เปิดทางจำเป็นในที่ดินโฉนดเลขที่ 1815 ตำบลหัวเวียง (บางกะทิง) อำเภอเสนา (เสนากลาง) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (กรุงเก่า) ด้านทิศตะวันตก กว้าง 3.5 เมตร ยาวตลอดจากทิศใต้ไปทิศเหนือจดทางสาธารณประโยชน์ตามรูปแผนที่เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 กับยอมให้โจทก์ปรับสภาพที่ดินเฉพาะส่วนที่เป็นทางในที่ดินของจำเลยทั้งสองให้สูงจากระดับพื้นนา 50 ถึง 80 เซนติเมตร
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 1 เป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 2 ด้านทิศเหนือของที่ดินจำเลยที่ 2 ไม่ติดทางสาธารณะ โจทก์ขออาศัยเดินผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสองเพื่อเป็นทางเข้าออกที่นาของโจทก์ โจทก์สามารถเปิดทางจำเป็นทางด้านทิศตะวันตกซึ่งเป็นทางกระบือไปสู่ทางสาธารณะได้ ขอให้ยกฟ้อง แต่หากศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองเปิดทางจำเป็น ขอให้โจทก์ใช้ค่าทดแทนเป็นเงินจำนวน 100,000 บาท แก่จำเลยทั้งสอง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์เดินผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสองไปสู่ทางสาธารณะเป็นเวลาเกินกว่า 50 ปีแล้ว ส่วนทางกระบือไม่มีสภาพเป็นทาง ไม่อาจใช้สัญจรไปมาได้ โจทก์ไม่เคยใช้ที่ดินด้านทิศตะวันตกเป็นเข้าออก จึงไม่อาจเปิดทางจำเป็นทางด้านทิศตะวันตกได้ ที่ดินจำเลยทั้งสองมีราคาประเมินตารางวาละ 200 บาท หรือราคาไร่ละไม่เกิน 80,000 บาท ที่ดินเฉพาะสวนที่ใช้เป็นทางผ่านเนื้อที่ไม่เกิน 50 ตารางวา หากทำนาข้าวจะได้ข้าวไม่เกิน 20 ถัง ราคาไม่เกิน 800 บาท ค่าทดแทนจึงไม่เกินคนละ 400 บาท ต่อปี ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ทางเดินกว้างประมาณ 2 เมตร ทางด้านทิศตะวันตกของที่ดินของจำเลยที่ 1 โฉนดเลขที่ 1814 ตำบลหัวเวียง (บางกะทิง) อำเภอเสนา (เสนากลาง) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ติดกับที่ดินโจทก์โฉนดเลขที่ 1813 ตำบลหัวเวียง (บางกะทิง) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ความยาวประมาณ 26 เมตร โดยวัดจากที่ดินโจทก์ไปตามแนวเขตที่ดินของจำเลยที่ 1 และทางเดินกว้างประมาณ 2 เมตร ทางด้านทิศตะวันตกของที่ดินจำเลยที่ 2 โฉนดเลขที่ 1815 ตำบลหัวเวียง (บางกะทิง) อำเภอเสนา (เสนากลาง) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ติดกับที่ดินจำเลยที่ 1 โฉนดเลขที่ 1814 ความยาวประมาณ 27.7 เมตร เชื่อมต่อจากที่ดินของจำเลยที่ 1 ไปตามแนวเขตที่ดินของจำเลยที่ 2 ถึงถนนดินทางด้านทิศตะวันตกของที่ดินจำเลยที่ 2 รวมความยาวประมาณ 53.7 เมตร เป็นทางจำเป็น ให้โจทก์ใช้ค่าทดแทนแก่จำเลยทั้งสองเป็นเงินปีละ 3,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งหมดให้เป็นพับ คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า โจทก์ใช้ค่าทดแทนแก่จำเลยทั้งสองเป็นเงินปีละ 1,500 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 1813 ตำบลหัวเวียง (บางกะทิง) อำเภอเสนา (เสนากลาง) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (กรุงเก่า) ที่ดินของโจทก์มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ ทิศเหนือติดที่ดินโฉนดเลขที่ 1814 ของจำเลยที่ 1 ทิศใต้ติดที่ดินโฉนดเลขที่ 1812 ของเด็กชายสุทธิชัย ทิศตะวันออกติดที่ดินโฉนดเลขที่ 1822 ของกองทุนรวมบางกอกแคปปิตอล และทิศตะวันตกติดที่ดินโฉนดเลขที่ 1809 ของนางประภา ที่ดินของจำเลยที่ 1 ด้านทิศเหนือติดที่ดินโฉนดเลขที่ 1815 ของจำเลยที่ 2 ที่ดินของจำเลยที่ 2 ด้านทิศเหนือติดทางสาธารณะ โจทก์ใช้ทางพิพาทในที่ดินของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นทางออกสู่ทางสาธารณะ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ โดยให้โจทก์ใช้ค่าทดแทนแก่จำเลยทั้งสอง ที่โจทก์ฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าจำเลยทั้งสองนำสืบถึงจำนวนค่าทดแทนไม่ได้ตามฟ้องแย้ง ศาลจึงไม่มีอำนาจพิพากษาให้โจทก์ใช้ค่าทดแทนแก่จำเลยทั้งสองนั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 วรรคท้าย บัญญัติว่า “ผู้มีสิทธิจะผ่านต้องใช้ค่าทดแทนให้แก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่เพื่อความเสียหายอันเกิดแต่เหตุที่มีทางผ่านนั้น ค่าทดแทนนั้นนอกจากค่าเสียหายเพราะสร้างถนน ท่านว่า จะกำหนดเป็นเงินรายปีก็ได้” ดังนั้นเมื่อศาลพิพากษาให้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสองย่อมมีสิทธิได้รับค่าทดแทนตามบทกฎหมายดังกล่าว ซึ่งจำเลยทั้งสองได้ฟ้องแย้ง่เรียกค่าทดแทนมาด้วยจำนวน 100,000 บาท โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าค่าทดแทนดังกล่าวสูงเกินสมควร ประเด็นเรื่องค่าทดแทนจึงมีอยู่แล้วตามฟ้องแย้งและคำให้การแก้ฟ้องแย้ง แม้จำเลยทั้งสองจะนำสืบถึงจำนวนค่าทดแทนไม่ได้ตามฟ้องแย้งศาลก็มีอำนาจวินิจฉัยว่าสมควรให้ค่าทดแทนเพียงใด ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลล่างทั้งสองให้โจทก์ใช้ค่าทดแทนโดยไม่ได้ระบุว่าตั้งแต่เมื่อใดจึงยังไม่ครบถ้วน เป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเพิ่มเติมเสียให้ครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143″
พิพากษายืน เว้นแต่ให้โจทก์ใช้ค่าทดแทนตั้งแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษา ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share