คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3514/2551

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ธนาคาร ม. เป็นผู้รับอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินของลูกหนี้ซึ่งลูกหนี้สัญญาว่าจะจ่ายเงินให้แก่ ว. โดยลูกหนี้สัญญากับธนาคาร ม. ว่าจะชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ธนาคาร ม. ต่อมาธนาคาร ม. ได้ใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่ ว. หลังจากนั้นธนาคาร ม. และลูกหนี้ได้ตกลงกันให้ธนาคารเจ้าหนี้เข้ามารับผิดชอบชำระหนี้อาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวแทนลูกหนี้ โดยออกบัตรเงินฝากให้แก่ธนาคาร ม. เป็นการทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้อันเป็นการแปลงหนี้ใหม่ มีผลให้มูลหนี้อาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินระงับสิ้นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 349 วรรคหนึ่ง ธนาคาร ม. ไม่อยู่ในฐานะเจ้าหนี้ในมูลหนี้ดังกล่าว เจ้าหนี้ในฐานะเป็นผู้รับโอนสินทรัพย์และหนี้สินของธนาคาร ม. จึงไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้โดยอาศัยมูลหนี้ดังกล่าวเช่นเดียวกัน

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของบริษัทเงินทุนทรัพย์คาเธย์ไฟแนนซ์ จำกัด (มหาชน) ลูกหนี้เด็ดขาดเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2544
เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้อาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 33,830,264.12 บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดตรวจคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 104 แล้ว กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเจ้าหนี้รายที่ 33 โต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วทำความเห็นว่ามูลหนี้ที่เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ระงับไปแล้วตามเงื่อนไขการเปลี่ยนตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นบัตรเงินฝากโครงการ คปต.จ.42 เจ้าหนี้มิได้อยู่ในฐานะเจ้าหนี้ ไม่มีสิทธิขอรับชำระหนี้ เห็นควรยกคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 107 (1)
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
เจ้าหนี้อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันในชั้นนี้ฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2533 ลูกหนี้ทำสัญญารับรองความเสียหายในการรับรองและ/หรืออาวัลตั๋วเงินกับธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) ในวงเงิน 30,000,000 บาท โดยยินยอมรับผิดชอบในหนี้ที่มีอยู่แล้วหรือต่อไปในภายหน้ากับยอมชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย ต่อมาวันที่ 7 กรกฎาคม 2540 ลูกหนี้ขอให้ธนาคารดังกล่าวอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินของลูกหนี้เลขที่ ซีเอฟ 0065153 ลงวันที่ 7 กรกฎาคม 2540 ซึ่งลูกหนี้สัญญาจะจ่ายเงิน 20,150,481.64 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี แก่นายวิบูลย์ในวันที่ 7 ตุลาคม 2540 โดยลูกหนี้สัญญาว่าจะชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ธนาคารดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย ครั้นถึงกำหนดชำระเงินลูกหนี้ไม่สามารถชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินเนื่องจากประสบปัญหาการบริหารสภาพคล่องทางการเงิน และถูกกระทรวงการคลังมีคำสั่งระงับการดำเนินกิจการ ธนาคารดังกล่าวชำระเงินตามตั๋วพร้อมดอกเบี้ยแทนลูกหนี้ให้แก่นายวิบูลย์เป็นเงิน 20,668,542.24 บาท และได้เข้าร่วมโครงการธนาคารกรุงไทยรับแลกเปลี่ยนตั๋วเจ้าหนี้บริษัทเงินทุน 42 บริษัทที่แผนฟื้นฟูกิจการของบริษัทไม่ได้รับความเห็นชอบ (คปต.จ.) โดยเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2541 ลูกหนี้ขอให้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ออกบัตรเงินฝากชนิดระบุชื่อผู้ทรงให้แก่ธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) จำนวนเงิน 20,150,481.64 บาท ระยะเวลาการฝาก 5 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี กระทรวงการคลังให้ความเห็นชอบโครงการโอนกิจการของธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) ให้แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เจ้าหนี้ มีการทำหนังสือสัญญาการโอนสินทรัพย์และหนี้สินของธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) ให้แก่เจ้าหนี้เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2541
ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของเจ้าหนี้ข้อแรกมีว่า เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ตามคำขอรับชำระหนี้หรือไม่ โดยเจ้าหนี้อุทธรณ์ว่า แม้หนี้ตามมูลหนี้อาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินจะเปลี่ยนเป็นบัตรเงินฝากธนาคารกรุงไทย แต่เจ้าหนี้ยังได้รับชำระหนี้ไม่ครบถ้วนเนื่องจากเป็นบัตรเงินฝากชนิดจ่ายคืนในอีก 5 ปี เป็นหนี้ที่มีเงื่อนเวลาการชำระหนี้และยังไม่ถึงกำหนดชำระ จึงเป็นหนี้ที่ขอรับชำระหนี้ได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 94 เห็นว่า ในการเข้าร่วมโครงการธนาคารกรุงไทยรับแลกเปลี่ยนตั๋วเจ้าหนี้ดังกล่าว ธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) ทำคำขอเปลี่ยนตั๋วเจ้าหนี้ลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2541 ในสำนวนคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีข้อความตอนหนึ่งว่า ธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) ในฐานะเจ้าหนี้ของลูกหนี้ประสงค์จะขอเปลี่ยนหนี้ประเภทหนี้อาวัล จำนวนเงิน 20,150,481.64 บาท วันถึงกำหนดใช้เงิน 7 ตุลาคม 2540 โดยตกลงสละสิทธิเรียกร้องและ/หรือหนี้อื่นใดทั้งปวงที่มีอยู่หรือค้างชำระอยู่ก่อนวันทำหนังสือ และขอให้เปลี่ยนหนี้ดังกล่าวทั้งหมดเป็นบัตรเงินฝากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ระบุชื่อธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ทรง มีจำนวนเงิน ระยะเวลาการฝาก อัตราดอกเบี้ย ตามหลักเกณฑ์การรับและเปลี่ยนตั๋วเจ้าหนี้ บริษัทเงินทุนที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ประกาศกำหนด และให้ถือว่าการที่ธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) ได้รับชำระหนี้ตามบัตรเงินฝากเป็นการชำระหนี้เสร็จสิ้น กับมีสำเนาตั๋วสัญญาใช้เงินเลขที่ ซีเอฟ 0065153 ลงวันที่ 7 กรกฎาคม 2540 ที่ลูกหนี้ออกให้แก่นายวิบูลย์อยู่ท้ายคำขอสำหรับขอของลูกหนี้ลงวันที่ 18 ธันวาคม 2541 ที่ขอให้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ออกบัตรเงินฝากให้แก่ธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) ในสำเนาคำขอข้อ 2 มีข้อความว่า ลูกหนี้ตกลงชำระต้นเงินและดอกเบี้ยตามบัตรเงินฝากดังกล่าวให้แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินมีจำนวนเงินและเงื่อนไขเดียวกับบัตรเงินฝาก กำหนดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี โดยมีสำเนาตั๋วสัญญาใช้เงินเลขที่ ซีเอฟ 0067769 ที่ลูกหนี้สัญญาจะจ่ายเงินจำนวน 20,150,481.64 บาท แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ระยะเวลา 5 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี อยู่ด้วย ดังนี้แสดงให้เห็นว่าธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) และลูกหนี้ได้ตกลงกันให้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เข้ามารับผิดชอบชำระหนี้อาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินแทนลูกหนี้ เป็นการทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ อันเป็นการแปลงหนี้ใหม่มีผลให้มูลหนี้อาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 349 วรรคหนึ่ง ธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) ไม่อยู่ในฐานะเจ้าหนี้ของลูกหนี้ในมูลหนี้ดังกล่าว เจ้าหนี้ในฐานะเป็นผู้รับโอนสินทรัพย์และหนี้สินของธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) จึงไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้โดยอาศัยมูลหนี้ดังกล่าวเช่นเดียวกัน กรณีไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของเจ้าหนี้ข้ออื่นเนื่องจากไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป คำสั่งศาลล้มละลายกลางชอบแล้ว”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share