คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6455/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานของจำเลยหลังจากระยะเวลากำหนดให้ยื่นบัญชีระบุพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา88วรรคหนึ่งได้สิ้นสุดลงแล้วโดยอ้างว่ามีเหตุอันสมควรที่ไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดเวลาดังกล่าวได้และศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตนั้นเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นได้พิจารณาแล้วใช้ดุลพินิจอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา88ให้อำนาจไว้เมื่อคดีนี้มีทุนทรัพย์เพียง27,500บาทคู่ความจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์และฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224วรรคหนึ่งและมาตรา248วรรคหนึ่งตามลำดับการที่โจทก์อุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นการอุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งดุลพินิจของศาลชั้นต้นอันเป็นการอุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์ใช้ค่าทนายความแทนจำเลยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดเป็นการไม่ชอบศาลฎีกาย่อมกำหนดใหม่ให้ถูกต้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยเป็นพี่ร่วมบิดามารดาเดียวกันกับโจทก์ ป้าของโจทก์และจำเลยยกที่ดินจำนวน11 ไร่เศษให้แก่โจทก์และจำเลยคนละครึ่ง โจทก์และจำเลยได้แบ่งแยกการครอบครองเป็นส่วนสัดตลอดมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อปี 2520จำเลยยื่นขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินแปลงดังกล่าวในส่วนของจำเลย และได้ออกเกินมาคลุมที่ดินของโจทก์ด้วยปรากฏตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์เพิ่งทราบความดังกล่าวเมื่อประมาณกลางปี 2535 และได้ติดต่อขอให้จำเลยส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวให้สำนักงานที่ดินอำเภอโพทะเลเพื่อแก้ไขให้ถูกต้อง แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้มีคำสั่งว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองครึ่งหนึ่ง และให้จำเลยส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์นั้น ให้เจ้าพนักงานที่ดินหรือเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจเพื่อดำเนินการจดทะเบียนแก้ไขชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวให้เป็นของโจทก์ครึ่งหนึ่ง หากจำเลยไม่ยอมส่งมอบก็ให้เจ้าพนักงานที่ดินผู้มีอำนาจออกใบแทนให้โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยได้รับการยกให้ที่ดินตามฟ้องมาจากบิดาเมื่อ 15 ปีมาแล้ว จำเลยได้เข้าครอบครองที่ดินนั้นโดยเจตนาเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียวตลอดมาตั้งแต่ก่อนออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามฟ้อง จำเลยได้แบ่งที่ดินครึ่งหนึ่งซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกให้โจทก์เช่าในอัตราค่าเช่าไร่ละ 500 บาท เมื่อประมาณ 9 ปีมาแล้ว โจทก์นำที่ดินที่เช่าไปให้ผู้อื่นเช่าต่อ โจทก์ค้างชำระค่าเช่าจำเลยเป็นเวลาประมาณ 2 ปี โจทก์บรรยายฟ้องไม่ชัดแจ้งว่าโจทก์ได้เข้าครอบครองที่ดินส่วนไหน ที่ดินดังกล่าวมีอาณาเขตทั้ง 4 ด้านจดที่ดินผู้ใดมีความกว้างยาวเท่าใด คำฟ้องของโจทก์ไม่แสดงโดยชัดแจ้งถึงสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งรับบัญชีระบุพยานจำเลย
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นรับบัญชีระบุพยานของจำเลยไว้ชอบแล้ว และวินิจฉัยต่อไปว่าคดีนี้มีทุนทรัพย์เพียง27,500 บาท ศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์ใช้ค่าทนายความแก่จำเลยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดและโจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เกินมา พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความในศาลชั้นต้นแก่จำเลยเป็นเงิน 1,300 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนจำเลยโดยกำหนดค่าทนายความเป็นเงิน 1,000 บาทคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ให้แก่โจทก์จำนวน 487.50 บาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานของจำเลยหลังจากระยะเวลากำหนดให้ยื่นบัญชีระบุพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคหนึ่งได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยอ้างว่าจำเลยมีเหตุอันสมควรที่ไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดเวลาดังกล่าวได้นั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคสี่บัญญัติว่า “เมื่อระยะเวลาที่กำหนดให้ยื่นบัญชีระบุพยานตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองแล้วแต่กรณี ได้สิ้นสุดลงแล้ว ถ้าคู่ความฝ่ายใดซึ่งมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานแสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลได้ว่ามีเหตุอันสมควรที่ไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดเวลาดังกล่าวได้ คู่ความฝ่ายนั้นอาจยื่นคำร้องขออนุญาตอ้างพยานหลักฐานเช่นว่านั้นต่อศาลพร้อมกับบัญชีระบุพยานและสำเนาบัญชีระบุพยานดังกล่าวไม่ว่าเวลาใด ๆ ก่อนพิพากษาคดี และถ้าศาลเห็นว่าเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็น เป็นไปโดยเที่ยงธรรมจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานเช่นว่านั้นก็ให้ศาลอนุญาตตามคำร้อง” การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานตามคำร้องฉบับลงวันที่ 18 มกราคม 2536และรับบัญชีระบุพยานของจำเลยดังกล่าว จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นได้พิจารณาแล้วเห็นว่า มีเหตุอันสมควรที่จำเลยไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยาน ตามกำหนดเวลาให้ยื่นบัญชีระบุพยานตามวรรคหนึ่งของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 88 ได้ และได้ใช้ดุลพินิจอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานตามคำร้องนั้นตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 88 ให้อำนาจไว้ ซึ่งเมื่อคดีนี้มีทุนทรัพย์เพียง27,500 บาท คู่ความจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์และฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 วรรคหนึ่ง และมาตรา 248 วรรคหนึ่งตามลำดับการที่โจทก์อุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นการอุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งดุลพินิจของศาลชั้นต้น อันเป็นการอุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์และฎีกาของโจทก์ และที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์นั้น เป็นการไม่ชอบศาลฎีกาไม่อาจรับวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ได้
อย่างไรก็ตาม คดีนี้มีทุนทรัพย์ 27,500 บาท ซึ่งตามตาราง 6ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งบัญญัติให้ศาลกำหนดค่าทนายความอัตราขึ้นสูงในศาลชั้นต้นได้ร้อยละ 5 ของทุนทรัพย์การที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์ใช้ค่าทนายความแทนจำเลยเป็นเงิน 3,000 บาท จึงเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดเป็นการไม่ชอบ ซึ่งศาลฎีกาย่อมกำหนดใหม่ให้ถูกต้องได้
พิพากษายกฎีกาของโจทก์ และยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2กับยกอุทธรณ์ของโจทก์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เว้นแต่ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความแทนจำเลยเป็นเงิน 1,300 บาทคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาทั้งหมดให้โจทก์ ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ฎีกาให้เป็นพับ

Share