แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้จำเลยรับผิดชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ15 ต่อปี แต่สัญญากู้ยืมเงินกำหนดให้คิดดอกเบี้ยตามอัตราที่กฎหมายกำหนด มิได้กำหนดอัตราว่าเท่าใด จึงต้องคิดดอกเบี้ยกันร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้คู่ความไม่ฎีกา ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2540 จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 400,000 บาท ตกลงให้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี กำหนดชำระดอกเบี้ยทุกเดือนและจะชำระต้นเงินคืนภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2541 จำเลยที่ 2ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ดังกล่าวภายหลังทำสัญญาจำเลยที่ 1ผิดนัดไม่ชำระต้นเงินและดอกเบี้ย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันทำสัญญาจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า สัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์นำมาฟ้องมีมูลหนี้อันเกิดจากการเล่นการพนันจึงเป็นโมฆะ ส่วนสัญญาค้ำประกันเป็นเอกสารที่ปลอมลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 หรือมิฉะนั้นเป็นลายมือชื่อที่จำเลยที่ 2 ลงชื่อไว้ในแบบฟอร์มสัญญาค้ำประกันโดยยังมิได้กรอกข้อความเพื่อเป็นการชำระหนี้กู้ยืมครั้งก่อน โจทก์เดิมข้อความโดยพลการแล้วนำมาฟ้องคดีนี้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินจำนวน 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระให้แก่โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาตามฎีกาจำเลยทั้งสองมีว่า หนี้ตามคำฟ้องเกิดจากมูลหนี้อันเกิดจากการเล่นพนันหรือไม่ และจำเลยทั้งสองได้ชำระหนี้ตามคำฟ้องบางส่วนหรือไม่ เห็นว่า พยานหลักฐานจำเลยทั้งสองไร้น้ำหนัก ขาดเหตุผลรับฟังไม่ได้ สำหรับปัญหาตามฎีกาจำเลยทั้งสองที่นำสืบว่า มีการชำระหนี้บางส่วนแล้วนั้นจำเลยทั้งสองมิได้ให้การต่อสู้คดีไว้ คดีจึงไม่มีประเด็นที่ว่ากล่าวกันมาโดยชอบในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่อาจยกขึ้นวินิจฉัยให้ได้
สำหรับเรื่องดอกเบี้ยที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยให้จำเลยทั้งสองรับผิดชำระในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นั้น เมื่อพิจารณาสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.1 ข้อ 3 กำหนดให้คิดดอกเบี้ยตามอัตราที่กฎหมายกำหนดแต่ไม่ได้กำหนดอัตราว่าเท่าใดต้องคิดดอกเบี้ยกันร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้คู่ความไม่ฎีกา ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 3