คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 644/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์เพราะศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาไต่สวนนั้นเท่ากับได้วินิจฉัยเนื้อหาแห่งคำร้องแล้วว่าจำเลยไม่ใช่คนอนาถา จะใช้สิทธิดำเนินคดีอย่างคนอนาถาไม่ได้ ซึ่งจำเลยจะต้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นภายใน 7 วันนับแต่วันมีคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้าย แต่จำเลยมิได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวภายในกำหนด โดยจำเลยอุทธรณ์ในข้อที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีเพียงอย่างเดียว และขอให้ศาลอุทธรณ์สั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนพยานหลักฐานของจำเลยต่อไป ดังนั้น คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์จึงยุติไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น คดีจึงไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาว่าสมควรอนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีเพื่อทำการไต่สวนพยานหลักฐานของจำเลยต่อไปหรือไม่

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาการใช้บัตรเครดิตพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยให้การต่อสู้คดี ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 721,645.57 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี นับแต่วันที่ 22 กรกฎาคม 2539 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์ และยื่นคำร้องขอดำเนินคดีในชั้นอุทธรณ์อย่างคนอนาถาศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องในวันนัดไต่สวนครั้งแรก ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างว่าตัวจำเลยซึ่งจะต้องเข้าเบิกความเป็นพยานป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนคดี ต่อมาในวันนัดไต่สวนครั้งที่สอง ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอีกโดยอ้างว่าตัวจำเลยซึ่งจะต้องเบิกความเป็นพยานป่วยเป็นไข้หวัด ศาลชั้นต้นเห็นว่าหากป่วยจริงอาการของจำเลยก็ไม่รุนแรงถึงขนาดมาศาลไม่ได้ พฤติการณ์ของจำเลยเป็นการประวิงคดีจึงไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบ ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยยากจน ไม่มีเหตุสมควรอนุญาตให้จำเลยดำเนินคดีในชั้นอุทธรณ์อย่างคนอนาถา จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง และให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ใน 7 วัน

จำเลยอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวของศาลชั้นต้น

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การขอเลื่อนคดีของจำเลยมีลักษณะเป็นการประวิงคดีที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี และถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยยากจน ให้ยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ของจำเลยชอบแล้วพิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีตามคำร้องของจำเลย และถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบชอบหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า ป่วยถึงขนาดไม่สามารถมาศาลได้ พฤติการณ์แห่งคดีได้ความว่า เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2542 จำเลยยื่นอุทธรณ์และยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องดังกล่าวในวันที่ 14 ธันวาคม 2542เวลา 13.30 นาฬิกา ในวันนัดไต่สวน จำเลยยื่นคำร้องว่าตัวจำเลยซึ่งจะมาเบิกความเป็นพยานป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ขอเลื่อนการไต่สวนคำร้องศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนคดีและนัดไต่สวนใหม่ในวันที่ 10 มีนาคม 2543 เวลา 13.30 นาฬิกา ครั้นถึงวันนัดไต่สวนครั้งที่สองจำเลยยื่นคำร้องพร้อมแนบใบรับรองแพทย์มาด้วยว่า ตัวจำเลยซึ่งจะมาเบิกความเป็นพยานป่วยเป็นไข้หวัด ขอเลื่อนการไต่สวนคำร้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งความว่านัดที่แล้วจำเลยขอเลื่อนคดีอ้างว่า ป่วยเป็นไข้หวัดนัดนี้อ้างว่าป่วยด้วยเหตุเดียวกันอีกโดยแพทย์เห็นว่า ควรพักผ่อน 1 วัน เชื่อว่าหากป่วยจริงอาการของจำเลยก็ไม่รุนแรงถึงขนาดมาศาลไม่ได้ พฤติการณ์ของจำเลยเป็นการประวิงคดีไม่มีเหตุสมควรอนุญาตให้เลื่อนคดี ให้ยกคำร้อง และถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบ ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยยากจน ไม่มีเหตุสมควรอนุญาตให้ดำเนินคดีในชั้นอุทธรณ์อย่างคนอนาถาให้ยกคำร้องเห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ เพราะศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาไต่สวน เท่ากับได้วินิจฉัยเนื้อหาแห่งคำร้องของจำเลยแล้วว่า จำเลยไม่ใช่คนอนาถา จะใช้สิทธิดำเนินคดีอย่างคนอนาถาไม่ได้ ซึ่งจำเลยจะต้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันที่มีคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้ายแต่จำเลยไม่ได้อุทธรณ์คำสั่งภายในกำหนด โดยจำเลยอุทธรณ์ในข้อที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีเพียงอย่างเดียว และขอให้ศาลอุทธรณ์สั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนพยานหลักฐานของจำเลยต่อไป คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์จึงยุติไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น คดีจึงไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาว่าสมควรอนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีเพื่อทำการไต่สวนพยานหลักฐานจำเลยต่อไปหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้ศาลฎีกากำหนดระยะเวลาวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้แก่จำเลยนั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นกำหนดระยะเวลาให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ ซึ่งย่อมหมายความรวมถึงนำค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษามาวางศาลด้วยมีกำหนด 7 วัน แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลชั้นต้นและไม่ได้แสดงเหตุผลที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวแสดงว่าจำเลยมิได้ให้ความสำคัญต่อการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นจึงไม่มีเหตุสมควรที่ศาลฎีกาจะกำหนดระยะเวลาวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้แก่จำเลยอีก ฎีกาจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share