แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
มารดาโจทก์เกิดโดยบิดามารดาเป็นคนสัญชาติญวนซึ่งเป็นคนต่างด้าว มารดาโจทก์จึงต้องถูกถอนสัญชาติไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ลงวันที่ 13 ธันวาคม2515 ข้อ 1 และถือได้ว่ามารดาโจทก์เป็นคนต่างด้าว การที่นายทะเบียนไม่ออกบัตรประจำตัวคนต่างด้าวให้แก่มารดาโจทก์ตาม พ.ร.บ. การทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ.2493 มาตรา 5และ 8 ก็ไม่ทำให้มารดาโจทก์เป็นคนมีสัญชาติไทย
ขณะโจทก์เกิดบิดามารดาโจทก์ยังไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน มารดาโจทก์ถูกถอนสัญชาติเป็นคนต่างด้าว โจทก์เกิดภายหลังที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337ใช้บังคับ แม้จะเกิดในราชอาณาจักร โจทก์ก็ไม่ได้สัญชาติไทย และถึงแม้บิดามารดาโจทก์จดทะเบียนสมรสกันในภายหลังก็มีผลเพียงให้โจทก์เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายตาม ป.พ.พ.มาตรา 1547 ไม่ทำให้โจทก์ได้สัญชาติไทยตาม พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.2508
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรนายหมง เหล่าพงศ์ไพศาล และนางสำรวย แซ่เล้าหรือเลหรือเลถิหรือแซ่เหวียน เกิดในราชอาณาจักรไทย บิดาโจทก์เป็นคนสัญชาติไทย ส่วนมารดาเป็นคนต่างด้าวเพราะถูกถอนสัญชาติไทย โจทก์เป็นคนสัญชาติไทย มารดาโจทก์แจ้งการเกิดของโจทก์ต่อจำเลยเพื่อให้จำเลยเพิ่มชื่อโจทก์ลงในทะเบียนบ้าน และให้ออกสูติบัตรแก่โจทก์ จำเลยไม่ยอมรับแจ้ง ต่อมาบิดาโจทก์ได้ไปแจ้งการเกิดต่อจำเลยเพื่อให้จำเลยเพิ่มชื่อโจทก์ลงในทะเบียนบ้านและให้ออกสูติบัตรให้โจทก์อีก แต่จำเลยก็ยังคงปฏิเสธเช่นเดิม ขอให้พิพากษาว่าโจทก์เป็นคนสัญชาติไทย และให้จำเลยรับแจ้งการเกิดของโจทก์ออกสูติบัตรให้แก่โจทก์ เพิ่มชื่อโจทก์ลงในทะเบียนบ้าน
จำเลยให้การว่า มารดาโจทก์เป็นผู้ที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรไทยเพียงชั่วคราว และเป็นผู้ที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง โจทก์จึงไม่ได้สัญชาติไทย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า โจทก์เป็นคนสัญชาติไทย ให้จำเลยรับแจ้งการเกิดของโจทก์ ออกสูติบัตรให้แก่โจทก์ และเพิ่มชื่อโจทก์ลงในทะเบียนบ้าน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มารดาโจทก์เกิดโดยบิดามารดาเป็นคนสัญชาติญวนซึ่งเป็นคนต่างด้าว มารดาโจทก์จึงต้องถูกถอนสัญชาติไทย ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๗ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๑๕ ข้อ ๑ โจทก์เป็นบุคคลที่เกิดโดยมารดาที่ถูกถอนสัญชาติไทยถือว่าเป็นคนต่างด้าว โจทก์เกิดภายหลังที่ประกาศของคณะปฏิวัติใช้บังคับ แม้จะเกิดในราชอาณาจักรโจทก์ก็ไม่ได้สัญชาติไทย เว้นแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะสั่งเป็นอย่างอื่นเป็นการเฉพาะรายไป ตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๑ และ ๒ ของประกาศดังกล่าว สำหรับกรณีของโจทก์ไม่ปรากฏว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสั่งเป็นอย่างอื่นเป็นการเฉพาะรายแต่อย่างใดขณะที่โจทก์เกิดเมื่อปี ๒๕๑๘ บิดามารดาโจทก์ยังไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน การที่บิดามารดาโจทก์จดทะเบียนสมรสกันในภายหลังก็มีผลเพียงให้โจทก์กลายเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๔๗ ไม่ทำให้โจทก์ได้สัญชาติไทยตามพระราชบัญญัติสัญชาติพ.ศ.๒๕๐๘ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๗ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๑๕ ดังกล่าว มีผลบังคับเป็นพิเศษยิ่งกว่าพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.๒๕๐๘ ซึ่งเป็นกฎหมายว่าด้วยสัญชาติทั่ว ๆ ไปทั้งนี้ ก็เพราะการได้สัญชาติก่อให้เกิดสิทธิบางประการแก่ผู้ได้รับสัญชาติ แต่ณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดหน้าที่แก่รัฐต่อผู้ได้รับสัญชาติด้วย จึงเป็นอำนาจของรัฐที่จะให้สัญชาติแก่ผู้ใด ตามเงื่อนไขที่รัฐเห็นว่าเหมาะสม ซึ่งก็อยู่กับนโยบาย เหตุการณ์บ้านเมือง และความจำเป็นของประเทศและการที่นายทะเบียนไม่ได้ออกบัตรประจำตัวคนต่างด้าวให้แก่มารดาโจทก์ ตามพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าวพุทธศักราช ๒๔๙๓ มาตรา ๕ และ ๘ นั้นก็ไม่ทำให้มารดาโจทก์กลายเป็นคนมีสัญชาติไทยแต่อย่างใด
พิพากษายืน.