คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 579/2534

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

หลังจากวันครบกำหนดตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีแล้ว จำเลยยังคงเบิกเงินจากบัญชีและนำเงินเข้าบัญชีเรื่อยมา โจทก์และจำเลยมิได้ถือกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเป็นข้อสาระสำคัญตามพฤติการณ์ดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า โจทก์และจำเลยตกลงโดยปริยายต่ออายุสัญญาบัญชีเดินสะพัดออกไปโดยไม่มีกำหนดเวลาจะต้องมีการบอกเลิกสัญญาตามมาตรา 859 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สัญญาจึงจะเลิกกัน โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจนถึงวันบอกเลิกสัญญา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดมีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 1 เป็นลูกค้าของธนาคารโจทก์ สาขาปทุมวัน มีบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน เลขที่ 4441ได้เบิกเงินเกินบัญชีไปก่อนแล้ว 29,163.77 บาท ต่อมาวันที่ 18ธันวาคม 2516 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีในวงเงินสองล้านบาทมีกำหนดระยะเวลา 12 เดือน ยอมเสียดอกเบี้ยเป็นรายเดือนอัตราร้อยละ 11.5 ต่อปี และยอมให้นำดอกเบี้ยค้างชำระทบต้นได้และให้ถือว่าเงินที่เบิกเกินบัญชีไปก่อนดังกล่าวเป็นยอดเงินรวมอยู่ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีด้วย จำเลยที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันหนี้เบิกเกินบัญชียอมเข้ารับผิดต่อโจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 1ทั้งนำที่ดินโฉนดเลขที่ 1756 ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวงจังหวัดปทุมธานี พร้อมสิ่งปลูกสร้างจำนองเป็นประกันด้วย โดยมีข้อตกลงว่าถ้าบังคับจำนองได้เงินสุทธิน้อยกว่าหนี้ที่ค้างอยู่จำนวนเท่าใด จำเลยที่ 3 ยอมใช้จำนวนที่ขาดให้โจทก์จนครบ หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ได้เบิกเงินออกและนำเงินเข้าหักทอนบัญชีตลอดมาจนครบกำหนดตามสัญญาจำเลยที่ 1 เบิกเงินเกินบัญชีไป 1,833,732.10 บาทหลังจากนั้นจำเลยที่ 1 คงเบิกเงินเกินบัญชีและนำเงินเข้าบัญชีหักทอนต่อไปอีกเป็นการต่ออายุสัญญาออกไปโดยไม่มีกำหนด ต่อมาโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยเบิกเงินเกินบัญชีต่อไป จึงให้ทนายความมีหนังสือทวงถามไปยังจำเลยที่ 1 ที่ 2 และบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยที่ 3 เป็นการบอกเลิกสัญญาเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2524 ยอดหนี้ถึงวันผิดนัดเป็นเงิน 2,557,452.66 บาท จำเลยทั้งสามได้รับแล้วแต่เพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 3,012,701.89บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 11.5 ต่อปีในต้นเงิน 2,557,452.66บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสามจะชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จหากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระจนครบ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์มีกำหนด 12 เดือนในวงเงินสองล้านบาท แต่จำเลยที่ 1 มิได้เป็นหนี้โจทก์ถึงจำนวนตามฟ้อง โจทก์คิดดอกเบี้ยไม่ถูกต้องและโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นนับแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2517 ขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่ 3ให้การว่าจำเลยที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 จริง แต่ไม่เคยตกลงให้โจทก์ขยายอายุสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดในหนี้ที่จำเลยที่ 1 ก่อให้เกิดขึ้นหลังจากครบอายุสัญญาแล้วจำเลยที่ 3 มิได้ตกลงยอมรับผิดชดใช้เงินส่วนที่ขาดจากการบังคับจำนอง และไม่เคยตกลงให้นำเงินจำนวน 29,163.77 บาท ซึ่งจำเลยที่ 1 ก่อให้เกิดขึ้นก่อนทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเข้ารวมเป็นยอดหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี ทั้งไม่เคยตกลงให้คิดดอกเบี้ยทบต้นได้ โจทก์ไม่เคยมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามบังคับจำนองถึงจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 1 มิได้เป็นหนี้โจทก์เป็นจำนวนตามฟ้อง จำเลยที่ 3 ผูกพันคงรับผิดไม่เกินวงเงินสองล้านบาทตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญาจำนอง ขอให้ยกฟ้องโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 2,530,324.37 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 11.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 มกราคม 2524 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์จนครบ จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์อย่างคนอนาถาศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยที่ 1 มีบัญชีเดินสะพัดอยู่กับโจทก์สาขาปทุมวัน และทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีลงวันที่ 18 ธันวาคม 2516 มีกำหนด 12 เดือนตามเอกสารหมาย จ.1 โดยมีจำเลยที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 และจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้กับโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.2 และ จ.3 เพียงวันที่ 18 ธันวาคม 2517ซึ่งเป็นวันครบกำหนดตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์อยู่ 1,833,732.10 บาท โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามจำเลยที่ 1ที่ 2 ให้ชำระหนี้และมีหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยที่ 3ตามเอกสารหมาย จ.4 โดยกำหนดให้ชำระหนี้ภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์2524 จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้รับหนังสือดังกล่าวเมื่อวันที่ 6กุมภาพันธ์ 2524 จำเลยที่ 3 ได้รับเมื่อวันที่ 5 เดือนเดียวกันคดีมีปัญหาในชั้นนี้ว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้ต่อไปหลังจากวันที่ 18 ธันวาคม 2517 ซึ่งเป็นวันครบกำหนดตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีหรือไม่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกาว่า สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีสิ้นสุดลงในวันที่ 18 ธันวาคม 2517 เนื่องจากไม่มีการต่ออายุสัญญาหลังจากนั้นโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่าโจทก์มีนางสาวสุภัทร ดวงพัสตรา ผู้จัดการธนาคารโจทก์สาขาปทุมวันเป็นพยานเบิกความว่า หลังจากวันที่ 17 ธันวาคม 2517 แล้วจำเลยที่ 1 ได้เบิกเงินจากบัญชีและนำเงินเข้าบัญชีเรื่อยมา ดังปรากฏตามบัญชีเลขที่ 4441 เอกสารหมาย จ.7 และโจทก์ส่งบัญชีเลขที่ดังกล่าวนี้เป็นหลักฐานปรากฏรายการต่าง ๆ ตรงตามที่พยานโจทก์ดังกล่าวเบิกความฝ่ายจำเลยมิได้นำสืบพยานหลักฐานหักล้างเป็นอย่างอื่น จึงฟังได้ว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 มิได้ถือกำหนดเวลา 12 เดือนที่ระบุไว้ในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเอกสารหมาย จ.1เป็นข้อสาระสำคัญ ตามพฤติการณ์แห่งคดีชี้ให้เห็นว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ตกลงโดยปริยายต่ออายุสัญญาบัญชีเดินสะพัดออกไปโดยไม่มีกำหนดเวลา จะต้องมีการบอกเลิกสัญญาตามนัยมาตรา 859แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สัญญาจึงจะเลิกกัน โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นต่อไปหลังจากวันที่ 18 ธันวาคม 2517ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share