คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2739/2534

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

สัญญาเช่าซื้อที่ระบุว่า ในระหว่างที่ชำระค่าเช่าซื้อยังไม่หมดรถยนต์ที่เช่าซื้อเสียหายหรือสูญหายไปด้วยเหตุใด ๆผู้เช่าซื้อตกลงยอมชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างทั้งหมดให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อจนครบถ้วน นั้น มิได้มีความหมายถึงขนาดว่าผู้ให้เช่าซื้อเล็งเห็นผลว่า ผู้เช่าซื้อจะนำรถยนต์ไปกระทำความผิดอันจะฟังว่าผู้ให้เช่าซื้อรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด และการขอคืนของกลางก็เป็นสิทธิที่ผู้ให้เช่าซื้อซึ่งเป็นเจ้าของที่แท้จริงจะร้องขอคืนได้แม้ว่าจะมีข้อสัญญาให้ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างจนครบถ้วนดังกล่าวแล้วก็ตาม

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยในความผิดฐานนำยานพาหนะที่มีน้ำหนักบรรทุกเกินอัตรากำหนดมาใช้บนทางหลวงและริบรถยนต์ของกลางหมายเลขทะเบียน 80-7665 กาญจนบุรีผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลาง ได้ให้นายวิรัตน์ พิมพ์ทรัพย์เช่าซื้อไป ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยกับจำเลยในการกระทำผิด ขอคืนรถยนต์ของกลาง โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่าผู้ร้องมิใช่เจ้าของรถยนต์ของกลาง ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยกับจำเลยในการกระทำผิดครั้งนี้ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลางก็เพื่อประโยชน์ของนายวิรัตน์ซึ่งเป็นพวกของจำเลยและเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้ยกคำร้อง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้คืนรถยนต์ของกลางหมายเลขทะเบียน 80-7665 กาญจนบุรีให้แก่ผู้ร้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมายจ.5 และโจทก์ไม่นำสืบโต้แย้งฟังได้ว่า รถยนต์ของกลางเป็นของผู้ร้องได้ให้นายวิรัตน์ พิมพ์ทรัพย์ เช่าซื้อไป เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2532 ในราคา 1,237,500 บาท ชำระค่าเช่าซื้อเป็นงวด ๆ มีกำหนด 32 งวด เริ่มชำระงวดแรกเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2532 และผู้เช่าซื้อไม่ได้ติดค้างค่าเช่าซื้อเลย เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2533 จำเลยใช้รถยนต์ของกลางบรรทุกดินเกินอัตรากำหนดไป 24,000 กิโลกรัม อันเป็นความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2515 ข้อ 56, 83 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ศาลแขวงนครปฐม พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยและริบรถยนต์ของกลาง จึงฟังได้ว่า รถยนต์ของกลางยังคงเป็นของผู้ร้อง คงมีปัญหาที่จะพิจารณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 เพียงว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่าตามสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 10 ซึ่งมีความว่า ในระหว่างที่ชำระค่าเช่าซื้อยังไม่หมด รถยนต์ที่เช่าซื้อเสียหายหรือสูญหายไปด้วยเหตุใด ๆ ก็ตาม ผู้เช่าซื้อตกลงยอมชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างทั้งหมดให้แก่เจ้าของจนครบถ้วนเป็นการกำหนดขึ้นเพราะผู้ร้องย่อมเล็งเห็นได้ว่า ผู้เช่าซื้อน่าจะต้องไปบรรทุกสิ่งของเกินอัตราได้ง่ายและเมื่อผู้เช่าซื้อทำผิดกฎหมายจนถูกศาลสั่งริบ ก็เป็นหน้าที่ของผู้ร้องที่จะไปเรียกค่าเช่าซื้อจากผู้เช่าซื้อไม่ใช่มาขอคืนจากศาลนั้น เห็นว่าตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 10 ดังกล่าว เป็นข้อสัญญาที่กำหนดขึ้นเพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้ให้เช่าซื้อในความหมายที่ว่าหากรถยนต์ที่ให้เช่าซื้อเกิดเสียหายหรือสูญหายไปด้วยเหตุใด ๆก็ตาม ผู้ให้เช่าซื้อต้องได้รับชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างจนครบถ้วนเท่านั้น มิได้มีความหมายถึงขนาดว่าผู้ให้เช่าซื้อเล็งเห็นผลว่าผู้เช่าซื้อจะนำรถยนต์ไปกระทำความผิดดังที่โจทก์ฎีกา ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าผู้ให้เช่าซื้อรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลยเพราะข้อสัญญาดังกล่าวนั้น และการขอคืนของกลางก็เป็นสิทธิที่ผู้ให้เช่าซื้อ ซึ่งเป็นเจ้าของที่แท้จริงและมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดจะร้องขอคืนแม้ว่าจะมีข้อสัญญาให้ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างจนครบถ้วนดังสัญญาเช่าซื้อข้อ 10 นั้นก็ตาม ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้คืนของกลางแก่ผู้ร้องจึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share