คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 641/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การร้องขอบังคับชำระหนี้เอาจากเงินที่ขายทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา โดยอาศัยอำนาจแห่งบุริมสิทธิ ให้ศาลเอาเงินที่ได้มานั้นชำระให้แก่ผู้ร้องก่อนโจทก์ตามความใน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 289 คำร้องเช่นนี้ต้องด้วยมาตรา 21(2) ซึ่งห้ามมิให้ศาลทำคำสั่งในเรื่องนั้นๆ โดยมิให้โจทก์มีโอกาสคัดค้านก่อน
ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลจ่ายเงินจากการขายทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาโดยอาศัยอำนาจบุริมสิทธิ ศาลได้จดรายงานไว้แต่เพียงว่าโจทก์และผู้ร้องต่างแถลงโต้แย้งกันว่า ตนควรได้รับชำระหนี้จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดแต่ฝ่ายเดียว แล้วศาลก็สั่งว่าให้รอฟังคำสั่งต่อไป และมีคำสั่งคำร้องของผู้ร้องในวันเดียวกันนั้น ดังนี้ แสดงให้เห็นว่า ศาลมีคำสั่งในกรณีนี้โดยมิได้ทำการไต่สวนคำร้องของผู้ร้องนั้นแต่ประการใดจึงสมควรที่ศาลสูงจะเพิกถอนกระบวนพิจารณาดังกล่าวเสีย

ย่อยาว

คดีเรื่องนี้ โจทก์นำยึดรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ผู้แพ้คดีเรื่องเรียกเงินตามสัญญาจ้าง และศาลได้ขายทอดตลาดไปแล้ว ได้เงินสุทธิ 7,500 บาท ผู้ร้องร้องว่าตนมีบุริมสิทธิ์เหนือรถยนต์คันนั้น โดยจำเลยที่ 2 ได้เอาจำนำผู้ร้องเป็นเงิน 8,000 บาท และต่อมาได้เพิ่มเอาเงินไปอีก 2,000 บาท รวมเป็นเงิน 10,000 บาท จึงขอให้ศาลจ่ายเงินที่ขายรถยนต์ให้แก่ผู้ร้องเสียก่อน ศาลชั้นต้นสั่งในคำร้องว่า “จ่ายสำเนาให้โจทก์สอบในรายงานกระบวนพิจารณา” ในวันเดียวกันนั้น โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งปล่อยการอายัติเงินตามที่ผู้ร้องขออายัติไว้แต่เดิม เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2491 เสีย ศาลสั่งว่า “จ่ายสำเนาให้ผู้ร้องสอบในรายงานพิจารณา” ในวันเดียวกับที่ผู้ร้องยื่นคำร้องนั้น ศาลได้ออกนั่งพิจารณา และสั่งในรายงานพิจารณาว่า “โจทก์และผู้ร้องต่างแถลงโต้แย้งกันว่าตนควรได้รับชำระหนี้จากเงินที่ได้ในการขายทอดตลาดรถยนต์ที่ยึดมาแต่ฝ่ายเดียว ศาลสอบต่อไป โจทก์และผู้ร้องแถลงว่า จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา ไม่มีทรัพย์อื่นที่จะให้ยึดอีกแล้ว ให้รอฟังคำสั่งต่อไป” ในวันนั้นเองศาลชั้นต้นเห็นว่า ผู้ร้องไม่มีบุริมสิทธิ์ แต่มีคำสั่งว่าผู้ร้องมีสิทธิได้รับส่วนเฉลี่ยในจำนวนหนี้ หนึ่งหมื่นบาทร่วมกับโจทก์ และเจ้าหนี้อื่น ศาลอุทธรณ์เห็นว่าผู้ร้องไม่มีพยานหลักฐานมาแสดงว่าตนมีบุริมสิทธิ์จริงดังคำร้องจึงพิพากษากลับ ให้ยกคำร้องเสีย

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีนี้เป็นเรื่องผู้ร้องร้องขอการบังคับการชำระหนี้เอาจากเงินที่ขายรถยนต์ของจำเลยโดยอาศัยอำนาจแห่งบุริมสิทธิ์ ให้ศาลเอาเงินที่ได้มานั้น ชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้องก่อนโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 คำร้องนี้ต้องด้วยมาตรา 21(2) ซึ่งห้ามมิให้ศาลทำคำสั่งในเรื่องนั้น ๆ โดยมิให้โจทก์มีโอกาสคัดค้านก่อน ในคดีนี้ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้แถลงคัดค้าน หรือยอมรับคำกล่าวอ้างของผู้ร้องในอำนาจบุริมสิทธิ์แต่ประการใด ศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำของศาลชั้นต้นเท่าที่ปฏิบัติไปแล้วนั้น ๆ แสดงให้เห็นว่าศาลมีคำสั่งในกรณีนี้ โดยมิได้ทำการไต่สวนคำร้องของผู้ร้องแต่ประการใดเลย ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายในเรื่องที่ให้โอกาสคัดค้านและทำการไต่สวนก่อนมีคำสั่งนี้ย่อมมุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม ซึ่งศาลฎีกาเห็นสมควรให้เพิกถอนการพิจารณาที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติเหล่านั้นเสีย จึงพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เสียโดยให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาในเรื่องนี้เสียใหม่ตามนัยดังกล่าวมาแล้ว

Share