คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 76/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สิทธิที่จะยื่นคำขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ ย่อมเป็นสิทธิเฉพาะตัว
สามีโจทก์ได้ฟ้องจำเลยหาว่าขัดขวางคัดค้านในการที่สามีโจทก์ขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ ในเขตที่สามีโจทก์ได้ขออาชญาบัตรผูกขาดตรวจแร่ไว้แล้ว ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาว่าเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำเลยไม่มีสิทธิจะถืออำนาจเป็นเจ้าของได้ ห้ามไม่ให้จำเลย เข้าไปเกี่ยวข้องขัดขวางในการที่สามีโจทก์ดำเนินการขอประทานบัตร จำเลยฎีกา ในระหว่างฎีกาสามีโจทก์ตาย ศาลฎีกาเห็นว่า สิทธิจะยื่นคำขอในการทำเหมืองเป็นสิทธิเฉพาะตัวบุคคล คดีย่อมระงับไปด้วยความมรณะของสามีโจทก์ จึงให้จำหน่ายคดี คดีนั้นย่อมถึงที่สุดเด็ดขาด ตั้งแต่วันที่ศาลฎีกาสั่งจำหน่ายตามมาตรา147 วรรคสองประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งผลแห่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ย่อมผูกพันแก่คู่ความในคดีนั้นเท่านั้นตามมาตรา 145
โจทก์มาฟ้องคดีนี้โดยอ้างว่าได้รับอนุมัติ การขอรับประทานบัตรทำเหมืองแร่รายเดียวกันนี้แล้ว จำเลยมาขัดขวางสิทธิของโจทก์เช่นเดียวกับคดีก่อน จึงเป็นเรื่องสิทธิโดยเฉพาะตัวของโจทก์อีกต่างหาก เป็นคดีคนละเรื่องกับคดีที่นายซิ่มจั่นสามีโจทก์ฟ้องร้อง ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ชี้ขาดไว้ในคดีก่อน จึงไม่ปิดปากจำเลยในคดีเรื่องนี้
โดยที่สิทธิขอประทานบัตรทำเหมืองแร่เป็นสิทธิเฉพาะตัว แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้โจทก์เข้าสวมสิทธิยื่นขอประทานบัตรแทนนายซิ่มจั่นผู้สามีได้เป็นกรณีพิเศษ แม้จะทำได้ก็ต้องหมายความได้แต่เพียงว่าให้ถือว่าโจทก์ตั้งต้นสิทธิของโจทก์ในการขอประทานบัตรได้ตั้งแต่วันที่นายซิ่มจั่นได้ลงมือกระทำการในเรื่องนี้มาเท่านั้น จะหมายความถึงกับว่าเป็นคำสั่งให้โจทก์รับมรดกสิทธิของนายซิ่มจั่นหาได้ไม่
คดีฎีกาคำสั่งตามมาตรา 228 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเสียค่าขึ้นศาล 20 บาทเท่านั้น

ย่อยาว

ความว่า นายซิ่มจั่น สามีโจทก์ได้ฟ้องนายตันเองเต๊กสามีจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2, 3, 4, 5 หาว่าขัดขวางในการที่นายซิ่มจั่นขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ ในเขตที่นายซิ่มจั่น ขออาชญาบัตรผูกขาดตรวจแร่ไว้แล้ว ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาว่าเป็นที่สาธารณะสมบัติแผ่นดิน และทางการได้ประกาศสงวนห้ามไม่ให้ผู้ใดจับจองได้ห้ามไม่ให้จำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องขัดขวางในการที่นายซิ่มจั่นดำเนินการขอประทานบัตร จำเลยฎีกา นายซิ่มจั่นตาย ศาลฎีกาเห็นว่าเรื่องนั้นนายซิ่มจั่นฟ้องเป็นมูลละเมิด สิทธิที่จะยื่นคำขอในการทำเหมืองเป็นสิทธิเฉพาะตัว จึงระงับไปด้วยความมรณะของผู้นั้นให้จำหน่ายคดี

บัดนี้ จำเลยได้ยื่นคำร้องขอสวมสิทธิของประทานบัตรตามเรื่องราวที่นายซิ่มจั่นขอไว้ คณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วอนุมัติให้โจทก์สวมสิทธิรับประทานบัตรแทนนายซิ่มจั่นได้ เมื่อเจ้าพนักงานได้ออกไปทำการรังวัดและประกาศให้ประชาชนทราบ จำเลยทั้ง 5 ได้ร้องคัดค้านต่อเจ้าพนักงานโลหกิจจังหวัดภูเก็ต ว่าโจทก์ขอประทานบัตรทับที่จำเลยซึ่งเป็นที่แห่งเดียวกับที่ร้องคัดค้านไว้ครั้งนายซิ่มจั่น การคัดค้านของจำเลยทำให้เจ้าพนักงานรอการดำเนินการออกประทานบัตรให้โจทก์ เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ โจทก์ได้รับความเสียหายจึงฟ้องขอให้ศาลแสดงว่า ที่ดินที่โจทก์ขอประทานบัตรเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำเลยไม่มีสิทธิเกี่ยวข้องให้จำเลยถอนคำคัดค้านและเรียกค่าเสียหาย

จำเลยให้การต้องคำกันว่า โจทก์ขอประทานบัตรทับที่จำเลยจำเลยมีสิทธิร้องคัดค้าน การยื่นเรื่องราวขอประทานบัตร ไม่ถือว่าผู้ยื่นเรื่องราวมีสิทธิได้รับประทานบัตรตามที่ขอสิทธิของโจทก์ยังไม่เกิด คดีที่นายซิ่มจั่นฟ้องจำเลยถึงที่สุดแล้วโจทก์อาศัยสิทธิของสามีนำคดีมาฟ้องซ้ำอีกไม่ได้ แต่ต่อสู้ว่าคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้โจทก์ขอประทานบัตรภายหลังที่จำเลยเข้าทำประโยชน์ในที่ดิน จำเลยย่อมมีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าโจทก์

ศาลชั้นต้นสั่งในรายงานพิจารณาว่าข้อเท็จจริงในคดีศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาในคดีแพ่งแดงที่ 6/2487 ไว้แล้วว่า สามีโจทก์ได้แผ้วถางที่พิพาทตรวจลองแร่ ที่พิพาทอันเป็นที่ร้างว่างเปล่ามาก่อน จำเลยจึงฉวยโอกาสเข้าแทรกแซงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต แม้ศาลฎีกาจะได้จำหน่ายคดีเสียก็ดี คดีต้องฟังยุติตามศาลอุทธรณ์ คดีไม่มีปัญหาข้อเท็จจริงจะต้องนำสืบต่อไป เว้นแต่ในเรื่องค่าเสียหายจึงให้คู่ความนำสืบในปัญหาข้อเสียหาย ข้อเท็จจริงอื่นให้งดสืบศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่นายซิ่มจั่นเป็นโจทก์นั้นแม้คดีได้ถึงที่สุด เด็ดขาดไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ตั้งแต่วันที่ศาลฎีกาสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 147 วรรค 2 ก็ดี แต่ผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ห้ามมิให้จำเลยขัดขวางสิทธิของนายซิ่มจั่นในอันที่จะยื่นคำขอต่อทางราชการนั้นย่อมผูกพันแต่คู่ความในคดีนั้นเท่านั้น ตามมาตรา 145 แต่กรณีเรื่องนั้น ศาลฎีกาได้วินิจฉัยแล้วว่า สิทธิยื่นคำขอต่อทางการของนายซิ่มจั่นนั้นเป็นสิทธิเฉพาะตัว ได้สูญไปพร้อมด้วยความมรณะของนายซิ่มจั่นแล้ว การที่โจทก์มาฟ้องเป็นคดีนี้ขึ้นจึงเป็นเรื่องสิทธิเฉพาะตัวโจทก์ เป็นคดีคนละเรื่องกับคดีที่นายซิ่มจั่นฟ้องร้องไว้ แม้คณะรัฐมนตรีจะมีมติอนุมัติให้โจทก์สวมสิทธิยื่นเรื่องราวขอประทานบัตรแทนนายซิ่มจั่นผู้สามีได้เป็นกรณีพิเศษก็ย่อมถือได้เพียงว่า โจทก์ตั้งต้นสิทธิของโจทก์ในการขอประทานบัตรได้ตั้งแต่วันที่นายซิ่มจั่นได้ลงมือกระทำการในเรื่องนี้มาเท่านั้นจะหมายความถึงกับว่าเป็นคำสั่งให้โจทก์รับมรดกสิทธิของซิ่มจั่นหาได้ไม่

ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาเป็นทำนองว่าข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ชี้ขาดในคดีที่นายซิ่มจั่นฟ้องร้องได้ผูกพันฝ่ายจำเลยในคดีนี้ด้วยนั้น ไม่ถูกต้อง จำเลยย่อมมีสิทธิสู้คดีกับโจทก์ในข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยได้ใช้สิทธิเข้าครอบครองที่รกร้างว่างเปล่าโดยสุจริตหรือไม่อีกโดยตลอดทั้ง 3 ศาล ฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ชี้ขาดในคดีก่อนปิดปากจำเลยในคดีเรื่องนี้แล้วงดสืบพยานในประเด็นข้อนี้ ศาลฎีกาไม่เห็นด้วย พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองเสีย ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีดังกล่าวข้างต้น

คดีนี้เป็นคดีฎีกาคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 228 ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 20 บาทเท่านั้น จึงให้คืนค่าขึ้นศาลที่เกิน 20 บาท แก่จำเลยด้วย

Share