แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
จำเลยให้การว่า จำเลยเบิกถอนเงินจากโจทก์เพียง 10,000 บาท และผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์เรื่อยมา จำเลยชำระหนี้โจทก์ครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนธันวาคม 2540 เมื่อนับแต่วันที่จำเลยผิดนัดชำระหนี้เมื่อเดือนธันวาคม 2540 ถึงวันฟ้องวันที่ 31 พฤษภาคม 2543 เป็นเวลา 2 ปี 5 เดือน ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ 2 ปี ดังนี้ คำให้การของจำเลยเป็นคำให้การที่ยกข้อต่อสู้เรื่องอายุความโดยแสดงเหตุแห่งการขาดอายุความไว้ชัดแจ้งแล้ว ไม่จำต้องกล่าวว่าเหตุใดจึงมีอายุความ 2 ปี เป็นหน้าที่ของศาลที่จะปรับบทตามกฎหมายต่อไป คำให้การของจำเลยจึงชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง คดีมีประเด็นเรื่องอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยไม่ได้ให้การว่าเหตุใดจึงมีอายุความ 2 ปี โดยเพิ่งยกเหตุที่คดีโจทก์มีอายุความ 2 ปี เนื่องจากเป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับทำการงานต่างๆ เรียกเอาเงินที่ได้ออกทดรองไปจากจำเลยขึ้นอ้างในการยื่นอุทธรณ์ ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น และไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในประเด็นเรื่องอายุความจึงไม่ชอบและเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. ว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งตามมาตรา 243 (1)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 57,299.92 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 35 ต่อปี จากต้นเงิน 28,320.53 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียว ภายหลังที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว จำเลยขอให้พิจารณาคดีใหม่ ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 33,856.15 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 28,320.53 บาท นับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ทั้งนี้ได้นำเงินที่จำเลยชำระแก่โจทก์ภายหลังวันที่ 1 กรกฎาคม 2541 ตามใบแจ้งยอดบัญชี มาหักชำระหนี้ในวันที่ชำระ โดยให้หักชำระดอกเบี้ยก่อนหากมีเหลือจึงนำไปหักชำระต้นเงิน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า โจทก์ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2540 จำเลยขอใช้บริการสินเชื่อเรดดี้เครดิตของโจทก์ตามสัญญาให้สินเชื่อ และจำเลยเบิกถอนเงินจากโจทก์ครั้งสุดท้ายวันที่ 23 มีนาคม 2541 ซึ่งต้องชำระหนี้ให้โจทก์ภายในวันที่ 30 เมษายน 2541 แต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์มีสิทธิบังคับให้จำเลยชำระหนี้ได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2541 เป็นต้นไป และโจทก์ระงับการให้สินเชื่อแก่จำเลยเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2541 จำเลยเป็นหนี้โจทก์ 33,856.15 บาท ซึ่งเป็นหนี้เงินต้นจำนวน 28,320.53 บาท
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในประเด็นที่ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความนั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า จำเลยให้การว่า จำเลยเบิกถอนเงินจากโจทก์เพียง 10,000 บาท และผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์เรื่อยมา จำเลยชำระหนี้โจทก์ครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนธันวาคม 2540 เมื่อนับแต่วันที่จำเลยผิดนัดชำระหนี้เมื่อเดือนธันวาคม 2540 ถึงวันฟ้องวันที่ 31 พฤษภาคม 2543 เป็นเวลา 2 ปี 5 เดือน ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ 2 ปี ดังนี้คำให้การของจำเลยเป็นคำให้การที่ยกข้อต่อสู้เรื่องอายุความโดยแสดงเหตุแห่งการขาดอายุความไว้ชัดแจ้งแล้ว ไม่จำต้องกล่าวว่าเหตุใดจึงมีอายุความ 2 ปี เป็นหน้าที่ของศาลที่จะปรับบทตามกฎหมายต่อไป คำให้การของจำเลยจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง คดีมีประเด็นเรื่องอายุความที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย จำเลยไม่ได้ให้การว่าเหตุใดจึงมีอายุความ 2 ปี โดยเพิ่งยกเหตุที่คดีโจทก์มีอายุความ 2 ปี เนื่องจากเป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับทำงานต่างๆ เรียกเอาเงินที่ได้ออกทดรองไปจากจำเลยขึ้นอ้างในการยื่นอุทธรณ์ ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น และไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในประเด็นเรื่องอายุความ จึงไม่ชอบ และเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งตามมาตรา 243 (1) ซึ่งศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยก่อน ในปัญหาว่าคดีโจทก์มีอายุความ 2 ปี เนื่องจากเป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับทำการงานต่างๆ เรียกเอาเงินที่ได้ออกทดรองไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (7) หรือไม่นั้น เห็นว่า สัญญาให้สินเชื่อเรดดี้เครดิตที่จำเลยทำไว้กับโจทก์โดยโจทก์ให้จำเลยสมัครเป็นสมาชิกนั้น มีเนื้อหาสาระสำคัญระบุไว้ชัดเจนว่า วงเงินสินเชื่อที่จำเลยมีสิทธิใช้นั้นโจทก์เป็นผู้กำหนดให้ ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามดุลพินิจของโจทก์ โจทก์ออกบัตรเครดิตพร้อมกำหนดรหัสประจำตัวให้แก่จำเลยเพื่อให้จำเลยสามารถนำไปใช้ถอนเงินจากเครื่องฝากและถอนเงินอัตโนมัติ (เอทีเอ็ม) ได้ตามความต้องการของจำเลยภายใต้วงเงินที่โจทก์กำหนดให้ สัญญาดังกล่าวมีกำหนดระยะเวลา 1 ปี โดยโจทก์คิดค่าธรรมเนียมการทำสัญญาจากจำเลยปีละ 500 บาท หากมีการต่อสัญญาจำเลยต้องเสียค่าธรรมเนียมรายปีในอัตราเดียวกันนี้หรือในอัตราอื่นใดตามที่โจทก์จะแจ้งแก่จำเลยทุกปี การให้สินเชื่อดังกล่าวจำเลยต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 26 ต่อปี และต้องชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่โจทก์ออกใบแจ้งยอดบัญชีส่งให้จำเลยในแต่ละเดือน แม้ตามข้อสัญญาดังกล่าวไม่มีข้อตกลงให้จำเลยสามารถนำบัตรเครดิตที่โจทก์ออกให้ดังกล่าวไปซื้อสินค้าหรือบริการแทนเงินสดได้โดยตรงก็ตาม แต่ลักษณะของข้อตกลงที่โจทก์ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์อำนวยความสะดวกให้แก่จำเลยในการเบิกถอนเงินสดจากเครื่องฝากและถอนเงินอัตโนมัติ (เอทีเอ็ม) ได้ตามความต้องการของจำเลยโดยโจทก์เป็นผู้ควบคุมวงเงินที่จำเลยจะเบิกถอนได้ และคิดค่าธรรมเนียมจากการที่จำเลยสมัครเข้าเป็นสมาชิกเพื่อใช้บริการสินเชื่อดังกล่าวเป็นรายปี จึงมีลักษณะที่โจทก์ทดรองจ่ายเงินสดให้แก่จำเลยซึ่งเป็นสมาชิกเพื่อให้จำเลยสามารถเบิกถอนเงินสดได้ตามเครื่องฝากและถอนเงินอัตโนมัติ (เอทีเอ็ม) ไปใช้จ่ายได้ตามความต้องการของจำเลยเองเช่นกัน โจทก์จึงเป็นผู้ประกอบธุรกิจในการรับทำการงานต่างๆ ให้สมาชิก การที่โจทก์ให้สมาชิกนำบัตรเครดิตไปถอนเงินสดจากเครื่องฝากและถอนเงินอัตโนมัติ (เอทีเอ็ม) ได้ แล้วจึงเรียกเก็บเงินจากสมาชิกในภายหลัง ถือได้ว่าเป็นการเรียกเอาเงินที่ได้ออกทดรองไปก่อน สิทธิเรียกร้องของโจทก์ในกรณีนี้จึงมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (7) เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยใช้บัตรเครดิตเบิกถอนเงินครั้งสุดท้ายวันที่ 23 มีนาคม 2541 ซึ่งต้องชำระหนี้ให้โจทก์ภายในวันที่ 30 เมษายน 2541 สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงตั้งต้นนับแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2541 แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 31 พฤษภาคม 2543 พ้นกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่โจทก์มีสิทธิเรียกร้อง คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์