คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2931/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย จำเลยให้การต่อสู้ว่า ที่ดินพิพาทมิใช่เป็นของโจทก์ แต่เป็นของผู้อื่น คือ ม. และ ห. กับมิได้อ้างว่าจำเลยแย่งการครอบครองที่ดินมาจาก ม. และ ห. และยึดถือครอบครองเพื่อตนจนได้สิทธิครอบครองแล้ว ถือไม่ได้ว่าจำเลยต่อสู้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท คดีของโจทก์ที่ฟ้องและมีคำขอบังคับให้ขับไล่จำเลยจึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ เมื่อโจทก์พอใจไม่อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นส่วนที่ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จากการที่จำเลยอยู่ในที่ดินโดยละเมิดเดือนละ 2,000 บาท จึงต้องถือว่าเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลใดๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท ซึ่งห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคสอง ในส่วนที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหาย แม้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ แต่ค่าเสียหายตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้นับตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2553 เป็นต้นไปคำนวณถึงวันที่ 27 เมษายน 2554 ซึ่งเป็นวันฟ้อง จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ในส่วนนี้ก็ไม่เกิน 50,000 บาท ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง เช่นกัน อุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 รับวินิจฉัยให้เป็นการไม่ชอบ จำเลยไม่สิทธิที่จะฎีกาปัญหาดังกล่าวอีก เพราะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากบ้านเลขที่ 49/5 หมู่ที่ 2 ตำบลบางกระสั้น อำเภอบางปะอิน (พระราชวัง) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งปลูกสร้างอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 6506 ตำบลบางกระสั้น อำเภอบางปะอิน (พระราชวัง) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และที่งอกที่ติดกับที่ดิน ให้จำเลยใช้เงิน 240,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้ใช้ค่าทดแทนความเสียหายเดือนละ 20,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากบ้านและที่ดิน
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 6506 ตำบลบางกระสั้น อำเภอบางปะอิน (พระราชวัง) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตั้งแต่หลักหมุดที่ ลม.59 ลม.60 ลม.61 ลม.37 ลม.38 3ช – 5083 ลม.52 1ฉ – 5311 ลม.57 ลม.58 ลม.59 และที่ดินพิพาทที่เป็นที่งอกตั้งแต่หลักหมุดที่ ลม.57 ลม.37 ลม.38 3ช – 5083 ลม.52 ลม.1ฉ – 5311 ลม.57 และบ้านเลขที่ 49/5 หมู่ที่ 2 ตำบลบางกระสั้น อำเภอบางปะอิน (พระราชวัง) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ในอัตราเดือนละ 2,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2553 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดิน แต่ทั้งนี้จำนวนเงินเมื่อคำนวณถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 240,000 บาท กับให้จำเลยใช้ค่าฤาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 4,000 บาท คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยอ้างว่า จำเลยอาศัยอยู่บนที่ดินซึ่งเป็นที่งอกของที่ดินโฉนดเลขที่ 6506 ตำบลบางกระสั้น อำเภอบางปะอิน (พระราชวัง) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ของโจทก์ และโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยอยู่อาศัยในที่ดินอีกต่อไป จำเลยให้การว่า ที่ดินที่จำเลยปลูกบ้าน พักอาศัยเป็นที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 11 เป็นชื่อนายมี นางเหลี่ยม จำเลยเข้าครอบครองโดยปลูกบ้าน ต้นไม้และผักสวนครัวต่อเนื่องตลอดมาตั้งแต่ปี 2535 โดยไม่มีใครโต้แย้งสิทธิ และที่ดินดังกล่าวไม่ใช่ที่งอกของที่ดินโฉนดเลขที่ 6506 ตามฟ้อง โจทก์ฟ้องขับไล่ผิดแปลง ขอให้ยกฟ้อง เป็นการยกข้อต่อสู้ว่า ที่ดินพิพาทมิใช่เป็นของโจทก์ แต่เป็นของผู้อื่น คือนายมีและนางเหลี่ยม กับมิได้อ้างว่าจำเลยแย่งการครอบครองที่ดินมาจากนายมีและนางเหลี่ยมและยึดถือครอบครองเพื่อตนจนได้สิทธิครอบครองแล้ว ถือไม่ได้ว่าจำเลยต่อสู้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท คดีของโจทก์ที่ฟ้องและมีคำขอบังคับให้ขับไล่จำเลย จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ และเมื่อโจทก์พอใจไม่อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นส่วนที่ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จากการที่จำเลยอยู่ในที่ดินโดยละเมิดเดือนละ 2,000 บาท จึงต้องถือว่าเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลใด ๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท ซึ่งห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสอง ในส่วนที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหาย แม้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ แต่ค่าเสียหายเดือนละ 2,000 บาท ตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้นับตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2553 เป็นต้นไปคำนวณถึงวันที่ 27 เมษายน 2554 ซึ่งเป็นวันฟ้อง จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ในส่วนนี้ก็ไม่เกิน 50,000 บาท ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง เช่นกัน อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า จำเลยไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่งอกของที่ดินโฉนดเลขที่ 6506 เนื่องจากที่ดินที่จำเลยครอบครองมีเอกสารสิทธิเป็นแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 11 โดยมีการครอบครองโดยสงบและเปิดเผยมาเป็นเวลากว่า 20 ปี ทั้งขณะนางสนอง นายสายหยุด และนางเหลี่ยม ขายที่ดินให้แก่นายวรรณชัย เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2532 จำเลยและชาวบ้านไม่ทราบว่ามีการขายที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) รวมไปในสัญญาซื้อขาย หากทราบย่อมต้องคัดค้านเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 รับวินิจฉัยให้เป็นการไม่ชอบ จำเลยไม่สิทธิที่จะฎีกาว่า ที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 11 อยู่นอกโฉนดเลขที่ 6506 อีก เพราะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
อนึ่ง เมื่อคดีโจทก์ส่วนที่ฟ้องและมีคำขอให้ขับไล่จำเลยเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มอีก 26,810 บาท จึงไม่ชอบ และต้องคืนให้แก่โจทก์ กับไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ว่า ที่ดินพิพาทมีเนื้อที่เพียง 1 งานเศษ จำเลยชำระค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์ 1,390,500 บาท ขอให้ศาลฎีกาสั่งคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาเป็นเงิน 51,420 บาท ให้แก่จำเลยอีก
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 และยกฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นที่เสียเกินมา 26,810 บาท ให้แก่โจทก์ กับคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

Share