คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4953/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

นางสาว ร. ลูกจ้างคนหนึ่งของจำเลยยักยอกทรัพย์ของจำเลยไป แต่โจทก์ไม่มีหน้าที่ดูแลทรัพย์สินนั้น และความเสียหายที่เกิดแก่จำเลยก็เป็นการกระทำของนางสาว ร. โจทก์มิได้กระทำการใด ๆเป็นที่เสียหายแก่จำเลย แม้โจทก์ไม่ให้ความร่วมมือในการติดตามเอาทรัพย์ที่ นางสาว ร.ยักยอกไปและจับกุมนางสาวร. ได้ขณะอยู่กับโจทก์ก็ตาม ก็หาเป็นการจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(2) ไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชย
จำเลยให้การต่อสู้คดี
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ฟังไม่ได้ว่าโจทก์มีส่วนรู้เห็นหรือสมคบกับนางสาวรศนายักยอกทรัพย์ของจำเลย ถือไม่ได้ว่าโจทก์กระทำการทุจริตต่อหน้าที่ และการที่โจทก์ไม่ให้ความร่วมมือติดตามเอาทรัพย์คืนก็ไม่พอฟังว่าโจทก์มีส่วนร่วมรู้เห็นในการกระทำความผิด หรือสนับสนุนผู้กระทำผิดอันจะถือได้ว่าโจทก์จงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย พิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ไม่มีหน้าที่ดูแลทรัพย์สินที่นางสาวรศนายักยอกไป ความเสียหายเกิดจากนางสาวรศนา มิได้เกี่ยวข้องกับโจทก์แต่ประการใด การที่โจทก์ไม่ให้ความร่วมมือในการติดตามเอาทรัพย์ที่นางสาวรศนายักยอกไป และต่อมานางสาวรศนาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมและอยู่กับโจทก์นั้น ยังไม่พอฟังว่าโจทก์มีส่วนร่วมรู้เห็นในการกระทำความผิดหรือให้การสนับสนุนผู้กระทำความผิด เห็นว่าตามพฤติการณ์ดังกล่าวความเสียหายที่เกิดแก่จำเลยเป็นการกระทำของนางสาวรศนา โจทก์มิได้กระทำการใด ๆ เป็นที่เสียหายแก่จำเลยเลยการที่โจทก์ไม่ให้ความร่วมมือในการติดตามเอาทรัพย์ที่นางสาวรศนายักยอกไป และพฤติการณ์ที่จับกุมนางสาวรศนาได้ขณะอยู่กับโจทก์นั้นก็หาเป็นการจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(2) ไม่
พิพากษายืน.

Share