แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ที่จะเป็นคู่ความได้ต้องเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลหรือนิติบุคคลตามกฎหมายพิเศษ แม้กรมกำลังพลทหารบก จำเลยที่ 3กรมการแพทย์ทหารบก จำเลยที่ 4 และโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า จำเลยที่ 5จะเป็นหน่วยงานในสังกัดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 แต่ตามพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการและกำหนดหน้าที่ของส่วนราชการกองทัพบก กองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม (ฉบับที่ 2)พ.ศ. 2512 มาตรา 4 ซึ่งออกตามความในมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2503 ก็มิได้กำหนดให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 มีฐานะเป็นนิติบุคคล จึงไม่อาจเป็นคู่ความที่จะถูกฟ้องร้องเป็นจำเลยได้
ตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการสั่งให้ทหารประจำการพักราชการ พ.ศ. 2500 ข้อ 6(2) กำหนดให้ผู้บังคับบัญชาสั่งให้ผู้ถูกสั่งพักราชการออกจากราชการได้ แม้ไม่ได้กระทำความผิด แต่หากมีมลทินหรือมัวหมอง ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2ผู้บังคับบัญชาของโจทก์มีคำสั่งให้โจทก์ซึ่งถูกสั่งให้พักราชการออกจากราชการประจำการเป็นนายทหารกองหนุน มีเบี้ยหวัด เพราะเหตุมลทินหรือมัวหมอง จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เคยรับราชการทหารตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการเงินของจำเลยที่ ๕ ระหว่างนั้นมีแพทย์ฝึกหัดมารับการอบรมที่โรงพยาบาลจำเลยที่ ๕ จำเลยจึงทำใบยืมเงินจากจำเลยที่ ๕ มาสำรองจ่ายแก่แพทย์ฝึกหัด เมื่อกระทรวงสาธารณสุขจ่ายให้แพทย์ฝึกหัดจึงนำไปใช้คืนแก่จำเลยที่ ๕ ต่อมาเจ้าหน้าที่ตรวจบัญชีของกองทัพบกมาตรวจสอบบัญชีพบว่าโจทก์ยังส่งคืนเงินให้จำเลยที่ ๕ ไม่ครบ จำเลยที่ ๔และที่ ๕ จึงตั้งคณะกรรมการสอบสวนโจทก์ และมีคำสั่งให้โจทก์พักราชการ ภายหลังโจทก์ชำระหนี้เงินยืมคืนแก่จำเลยที่ ๕ ครบถ้วนแล้วคณะกรรมการดังกล่าวได้เสนอความเห็นว่าควรเพิกถอนคำสั่งให้โจทก์พักราชการจำนวน ๔ นำเรื่องนี้เสนอต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น แต่จำเลยที่ ๓ กลับทำเรื่องเสนอให้จำเลยที่ ๒ มีคำสั่งให้สอบสวนให้โจทก์ใหม่ จำเลยที่ ๒ ส่งเรื่องให้อัยการศาลทหารพิจารณาสั่งฟ้องโจทก์ฐานยักยอก แต่อัยการศาลทหารสั่งไม่ฟ้อง จำเลยที่ ๓ตั้งคณะกรรมการขึ้นใหม่เพื่อพิจารณาเรื่องมลทินมัวหมองของโจทก์คณะกรรมการเห็นว่าโจทก์มีมลทิน จำเลยที่ ๓ ทำรายงานเสนอจำเลยที่ ๒และที่ ๑ ซึ่งจำเลยทั้งสองมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากราชการอันเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งให้โจทก์ออกจากราชการประจำ กับให้มีคำสั่งบรรจุโจทก์เข้ารับราชการในชั้นยศพันโทดังเดิมตำแหน่งเดิม หรือเทียบเท่า ให้จำเลยที่ ๕ รับโจทก์เข้าทำงานในตำแหน่งเดิมหรือเทียบเท่าให้จำเลยที่ ๓ ทำรายงานที่ถูกต้อง หากจำเลยทั้งห้าไม่ดำเนินการภายใน ๗ วันนับแต่ศาลมีคำพิพากษา ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งห้า
ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลชั้นต้นพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑(๑๑) บัญญัติว่า “คู่ความ” หมายความว่า บุคคลผู้ยื่นคำฟ้องหรือถูกฟ้องต่อศาล และเพื่อประโยชน์แห่งการดำเนินกระบวนพิจารณาให้รวมถึงบุคคลผู้มีสิทธิกระทำการแทนบุคคลนั้น ๆ ตามกฎหมายหรือในฐานะทนายความ ตามบทบัญญัติดังกล่าวผู้ที่จะเป็นคู่ความได้จึงต้องเป็นบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๑ ลักษณะ ๒ อันได้แก่บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลหรือเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายพิเศษเฉพาะเรื่อง สำหรับกระทรวงกลาโหมมีส่วนราชการในสังกัดที่เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๐๓มาตรา ๑๗ ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๔ คือสำนักงานปลัดกระทรวง กองบัญชาการทหารสูงสุด กองทัพบกกองทัพเรือ และกองทัพอากาศ แต่ตามพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการและกำหนดหน้าที่ของส่วนราชการกองทัพบก กองบัญชาการทหารสูงสุดกระทรวงกลาโหม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๑๒ มาตรา ๔ ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๐๓ มิได้กำหนดให้ กรมกำลังพลทหารบก จำเลยที่ ๓ กรมการแพทย์ทหารบก จำเลยที่ ๔ และโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า จำเลยที่ ๕ มีฐานะเป็นนิติบุคคล เพียงแต่เป็นหน่วยงานในสังกัดของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เท่านั้น ดังนี้ จำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ จึงมิได้เป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ ๑ ลักษณะ ๒ หรือตามกฎหมายพิเศษเฉพาะเรื่องแต่อย่างใด จึงไม่อาจเป็นคู่ความที่จะถูกฟ้องเป็นจำเลยในศาลได้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕
ที่โจทก์ฎีกาว่า การที่จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ไม่เพิกถอนคำสั่งที่ให้โจทก์ออกจากราชการ และไม่สั่งให้โจทก์กลับคืนสู่ตำแหน่งเดิมตามฟ้องเป็นการละเมิดต่อโจทก์นั้น เห็นว่า ตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการสั่งให้ทหารประจำการพักราชการ พ.ศ. ๒๕๐๐ข้อ ๖(๒) ระบุว่า “แม้ไม่ได้ความว่าผู้ถูกสั่งให้พักราชการได้กระทำความผิด แต่ก็มีมลทินหรือมัวหมองอยู่ผู้บังคับบัญชาที่สั่งพักราชการจะสั่งให้กลับเข้ารับราชการหรือให้ออกจากราชการก็ได้ แต่ต้องสั่งให้กลับเข้ารับราชการหรือออกจากราชการตั้งแต่วันที่ออกคำสั่งนั้น” จะเห็นได้ว่าตามข้อบังคับดังกล่าวข้อ ๖(๒) แม้ไม่ได้ความว่าผู้ถูกสั่งพักราชการได้กระทำความผิด แต่มีมลทินหรือมัวหมองผู้บังคับบัญชามีอำนาจสั่งให้ผู้ถูกสั่งพักราชการกลับเข้ารับราชการหรือให้ออกจากราชการได้ คำสั่งของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ซึ่งให้โจทก์ออกจากราชการประจำการเป็นนายทหารกองหนุน มีเบี้ยหวัดจึงชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์
พิพากษายืน.