แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เอกสารแสดงว่าเป็นหนี้เงิน แม้ไม่แสดงไว้ว่าเป็นหนี้เงินกู้ ก็ถือเป็นหลักฐานในการฟ้องร้องตาม ม. 653 ได้ จึงเป็นเรื่องที่ศาลจะต้องฟังการนำสืบต่อไปว่าเป็นหนี้อะไร.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องอ้างว่า จำเลยได้ยืมเงินโจทก์ไป ๖๕๐๐ บาทโดยไม่มีหนังสือ แต่มีหนังสือของจำเลยรับสารภาพหนี้ มีข้อความว่า
“ฯลฯ เนื่องจากหลานไปเอาเงินจากหุ้นส่วนยังไม่ได้ครบ ๓พัน ได้มาเพียงพันสองร้อย จึงได้คืนเงินพันสองร้อยนั้นไปหมด แล้วยึดรถไว้ ทางเฮียบเส็งขอผลัดอีก ๗ วัน เงินของคุณน้าคิดแล้วเป็นเงินหกพันห้าร้อยบาท วันที่ ๑๒ มิ.ย. ถ้าไม่ได้ตัวเงินทางเฮียบเสงจะขายพันธบัตร์ให้ แต่หลานเกรงใจคุณน้าจะว่าโกง จึงเอาหนังสือสำคัญมาให้คุณน้ายึดไว้ก่อน ฯลฯ” ขอให้จำเลยใช้เงินรายนี้ให้โจทก์.
จำเลยให้การว่า ไม่ใช่เรื่องยืม เป็นเรื่องโจทก์ให้เงินจำเลยไปลงทุน และได้คิดบัญชีไว้ไม่ติดค้างกันแล้ว แต่มิได้ทำหนังสือเป็นหลักฐานไว้ และตัดฟ้องว่า โจทก์ไม่มีสิทธิ์ฟ้องร้อง เพราะได้ชำระหนี้แล้ว
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ศาลแพ่งว่า ข้อความในหนังสือดังกล่าวแล้วฟังได้ว่าจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์อยู่ แต่จะเป็นหนี้เรื่องอะไรไม่ปรากฏ ให้ยกคำพิพากษาศาลแพ่ง และให้ดำเนินการพิจารณาพิพากษาใหม่.
จำเลยฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า ตามเอกสารดังกล่าวนั้นมีข้อความแสดงให้เข้าใจได้ว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ ๖๕๐๐ บาทนับว่าเป็นการเพียงพอที่ถือได้ว่า หนังสือนี้เป็นหนังสือรับสารภาพหนี้ ซึ่งถ้าเป็นการกู้หนี้สินจริง ก็ปรับเข้าใน ป.ม.แพ่งฯ มาตรา ๖๕๓ ได้ โจทก์จึงมีสิทธิ์ฟ้องร้องคดีนี้ได้ตามที่อ้างว่าเป็นหนี้เงินยืม ซึ่งจะต้องพิจารณาต่อไปว่า จริงเพียงไรดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย จึงพิพากษายืน.