คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2344/2523

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ตกลงกู้เงินจากจำเลยโดยเอาที่พิพาทจำนองค้ำประกันแต่ทำสัญญาขายฝากเป็นนิติกรรมอำพราง และเมื่อปรากฏว่าจำเลยขายที่พิพาทให้แก่บุคคลอื่นไปแล้ว จำเลยก็ต้องคืนเงินดังกล่าวให้โจทก์โดยหักเงินที่โจทก์กู้ออกจากเงินดังกล่าว

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่าโจทก์ตกลงกู้เงินจากจำเลย 160,000 บาทโดยเอาที่พิพาทจำนองค้ำประกัน สัญญาขายฝากเอกสารหมาย จ.2 เป็นนิติกรรมอำพราง ตามเอกสารหมาย จ.9 14 ชุดได้ความว่าจำเลยขายที่พิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างไปเป็นเงินทั้งสิ้น 375,000 บาท จำเลยต้องคืนเงินให้โจทก์ 217,500 บาท ครบกำหนดไถ่ถอนไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับดอกเบี้ยจากโจทก์ ดอกเบี้ยที่จำเลยเรียกจากโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.1 เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด จึงไม่กำหนดค่าดอกเบี้ยที่โจทก์จะพึงชำระให้แก่จำเลยหลังจากครบกำหนดไถ่ถอน ส่วนค่าเสียหายที่โจทก์เรียกจากจำเลยเท่ากับอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนั้น เห็นว่าโจทก์มีหน้าที่จะต้องชำระค่าเสียหายทำนองนี้เช่นกันให้แก่จำเลยนับแต่วันโจทก์ผิดนัดไม่ทำการไถ่ถอน จึงเห็นสมควรไม่กำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ให้แก่โจทก์

พิพากษากลับ ให้จำเลยคืนเงิน 217,500 บาทให้แก่โจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ”

Share