คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4556/2533

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยต่างมิได้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความความทุกข้อที่ทำกันไว้ในศาลชั้นต้นแต่ที่จำเลยยังมิได้ปฏิบัติตามสัญญาข้อ 6 โดยไม่ยอมให้โจทก์เช่าตึกแถวนั้นปรากฏว่าโจทก์ยังมิได้โอนกรรมสิทธิ์ในตึกแถวดังกล่าวให้จำเลยตามสัญญาข้อ 2 โจทก์จะอ้างว่าจำเลยผิดสัญญายังมิได้ และที่จำเลยยังมิได้จัดการโอนหุ้นตามสัญญาข้อ 8 และยังมิได้โอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์ตามสัญญาข้อ 2 นั้น เนื่องจากสัญญาข้อ 8 และข้อ 2 มิได้เกี่ยวข้องหรือเป็นเงื่อนไขของสัญญาข้ออื่น ทั้งสัญญาข้อ 10 ระบุว่าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใด อีกฝ่ายบังคับคดีได้ทันที โจทก์ก็อาจบังคับคดีได้เช่นกัน ไม่เป็นเหตุขัดข้องในการที่โจทก์จะปฏิบัติตามสัญญาข้อ 2 ถึง ข้อ 5 เมื่อปรากฏว่าโจทก์ไม่ได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมและคำบังคับ จำเลยก็มีสิทธิบังคับคดีแก่โจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 271

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องหย่าจำเลยและให้บุตรทั้งสามอยู่ในความปกครองของโจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งขอให้โจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าใช้จ่ายในครอบครัวเดือนละ 10,000บาท ค่าการศึกษาของบุตร 3 คนอีกเดือนละ 10,000 บาท ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2530 โจทก์และจำเลยตกลงกันได้ ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันดังต่อไปนี้ข้อ 1. โจทก์จำเลยตกลงหย่าขาดจากความเป็นสามีภริยากันนับแต่วันนี้โดยจะไปจดทะเบียนหย่าภายใน 7 วัน นับแต่วันนี้ หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนเจตนาของจำเลย และจำเลยจะขนย้ายออกไปจากตึกเลขที่ 117-119 ถนนสี่พระยา ภายใน 1 เดือน นับแต่วันนี้ ข้อ 2. โจทก์ยอมจัดการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินตึกแถว2 ชั้น เลขที่ 1-3 ถนนทรัพย์ แขวงสี่พระยา เขตบางรักกรุงเทพมหานคร โดยปลอดจำนองให้จำเลยภายใน 30 วัน นับแต่วันนี้หากโจทก์ไม่โอนให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์และจะจัดการหาโทรศัพท์มาให้จำเลยใช้ โดยจำเลยจะโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์หมายเลข 2332152 มาเป็นของโจทก์หรือบุคคลที่โจทก์เห็นสมควรภายใน 30 วัน ข้อ 3. โจทก์ยอมจัดการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินกับสิ่งปลูกสร้างเลขทะเบียนที่ 3224 ถนนสุขุมวิทแขวงบางนา เขตพระโขนง พร้อมโทรศัพท์ 2 เครื่อง ให้แก่บุตรทั้งสาม โดยจะจัดการปลดจำนองให้แล้วเสร็จภายใน 4 ปี นับแต่วันนี้ ให้บุตรโจทก์ทั้งสามเก็บค่าเช่าได้ ข้อ 4. โจทก์ยอมให้เงินแก่จำเลยเป็นเงิน 2,000,000 บาท โดยชำระให้แล้วเสร็จภายใน4 ปี นับแต่วันนี้ จะชำระงวดแรก 200,000 บาท ภายในกำหนด 10 วัน นับแต่วันนี้ ส่วนที่เหลือ 1,800,000 บาท จะผ่อนชำระให้ภายในวันที่ 5 ของทุกเดือน เริ่มแต่เดือนกันยายน 2530 ไม่น้อยกว่าเดือนละ 35,000 บาท ข้อ 5. โจทก์ยอมให้เงินค่าตบแต่งตึกแถวที่ถนนทรัพย์ แขวงสี่พระยา เขตบางรัก แก่จำเลยเป็นเงิน200,000 บาท จะชำระให้จำเลยภายใน 10 วัน นับแต่วันนี้ข้อ 6. จำเลยยอมให้โจทก์เช่าตึกแถวที่ถนนทรัพย์ทั้งสองคูหามีกำหนด 3 ปี ในอัตราค่าเช่าเดือนละ 20,000 บาท นับแต่วันที่จำเลยได้รับโอนกรรมสิทธิ์ไปจากโจทก์ โดยชำระกันที่สำนักงานของจำเลย โดยโจทก์ชำระค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ที่โจทก์ใช้ข้อ 7. จำเลยรับหน้าที่เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรทั้งสามคนตลอดจนที่อยู่โดยไม่ต้องให้โจทก์รับภาระตลอดไปจนกว่าบุตรทั้งสามสำเร็จการศึกษาชั้นปริญญา ข้อ 8. จำเลยยอมโอนหุ้นที่จำเลยถือในบริษัทเค.เอส.ซี เอนจิเนียริ่ง จำกัด และจัดการให้นางสาวศิริภรณ์ แซ่แต้ โอนหุ้นในบริษัทดังกล่าวทั้งหมดคนละ 400 หุ้น ให้แก่โจทก์หรือบุคคลที่โจทก์เห็นชอบภายใน10 วัน นับแต่วันนี้ พร้อมกับคืนเอกสารทั้งปวงที่เกี่ยวกับบริษัทดังกล่าวคืนโจทก์ภายใน 10 วัน ข้อ 9. ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ติดใจเรียกร้องกันอีก ข้อ 10. หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดผิดสัญญาประนีประนอมยอมความข้อหนึ่งข้อใด ให้อีกฝ่ายบังคับคดีได้ทันที่ ต่อมาวันที่ 15 กันยายน 2530 จำเลยได้ยื่นคำร้องขอบังคับคดีอ้างว่าโจทก์ปฏิบัติผิดสัญญาประนีประนอมยอมความทุกข้อจำเลยนัดไปโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน โจทก์ขอผัดผ่อนเรื่อยมา และโจทก์อ้างว่าจำเลยยักยอกเงินของบริษัทเค.เอส.ซี.เอนจิเนียริ่งจำกัดโจทก์ให้จำเลยทำสัญญาให้โจทก์เช่าอาคารเลขที่ 1-3 ถนนทรัพย์แขวงสี่พระยา เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร ซึ่งเอาเปรียบจำเลยจำเลยไม่ยอมทำสัญญาให้ โจทก์จึงอ้างเป็นเหตุไม่ยอมปฏิบัติตามสัญญาศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดและอายัดทรัพย์สินของโจทก์โจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยเป็นฝ่ายไม่ยอมปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยไม่ยอมโอนหุ้นและให้นางสาวศิริภรณ์ แซ่แต้ โอนหุ้นให้โจทก์พร้อมคืนเอกสารทั้งปวงของบริษัทเค.เอส.ซี.เอนจิเนียริ่ง จำกัด และตามสัญญาประนีประนอมยอมความจำเลยจะต้องยอมให้โจทก์เช่าตึกแถวที่ถนนทรัพย์ เมื่อโจทก์ทำสัญญาเช่าแล้ว จำเลยไม่ยอมลงชื่อให้โจทก์จึงเข้าใจโดยสุจริตว่ามีสิทธิยับยั้งหรือหยุดการปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความไว้ก่อนได้ จึงขอให้ศาลเพิกถอนการยึดและอายัดทรัพย์สินของโจทก์ จำเลยคัดค้านว่า โจทก์ยื่นคำร้องเพื่อประวิงการบังคับคดีมิให้สำเร็จลง หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ชอบที่จะดำเนินการบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 10 ได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ถอนการบังคับคดี ปล่อยทรัพย์ที่ยึดหรืออายัดให้แก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้บังคับคดีต่อไป โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาว่าจำเลยมีสิทธิขอให้ศาลดำเนินการบังคับคดียึดทรัพย์สินของโจทก์ออกขายทอดตลาดตามคำขอลงวันที่ 15 กันยายน 2530 หรือไม่ เห็นว่า แม้สัญญาประนีประนอมยอมความลงวันที่ 29 กรกฎาคม 2530 โจทก์จำเลยซึ่งเป็นสามีภริยาต่างมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามข้อสัญญาและทนายโจทก์ ทนายจำเลยต่างแถลงยอมรับข้อเท็จจริงตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2531 ต่อมาว่า โจทก์จำเลยต่างมิได้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวก็ตาม แต่เห็นว่า ที่จำเลยแถลงรับว่าจำเลยยังมิได้ปฏิบัติตามสัญญาข้อ 6 โดยไม่ยอมให้โจทก์เช่าตึกแถวที่ถนนทรัพย์นั้น ปรากฏว่าโจทก์ยังมิได้โอนกรรมสิทธิ์ในตึกแถวดังกล่าวให้จำเลยตามสัญญา ข้อ 2. จะอ้างว่าจำเลยผิดสัญญายังไม่ได้ และที่จำเลยแถลงรับว่ายังมิได้จัดการโอนหุ้นตามสัญญา ข้อ 8 และยังมิได้โอนกรรมสิทธิ์การเช่าโทรศัพท์หมายเลข 2332152 ตามสัญญาข้อ 2 จริงนั้น เนื่องจากสัญญาข้อ 8และข้อ 2 มิได้เกี่ยวข้องหรือเป็นเงื่อนไขของสัญญาข้ออื่นทั้งสัญญาข้อ 10 ระบุว่า หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใดอีกฝ่ายบังคับคดีได้ทันที โจทก์ก็อาจบังคับคดีได้เช่นกันไม่เป็นเหตุขัดข้องในการที่โจทก์จะปฏิบัติตามสัญญาข้อ 2 ถึงข้อ 5 เมื่อปรากฏว่าโจทก์ไม่ได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมและตามคำบังคับ จำเลยก็มีสิทธิบังคับคดีแก่โจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271ซึ่งบัญญัติว่า “ถ้าคู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดี(ลูกหนี้ตามคำพิพากษา) มิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทั้งหมดหรือบางส่วน คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะ(เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ภายในสิบปีนับแต่วันที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งโดยอาศัยและตามคำบังคับที่ออกตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น”ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้มีการบังคับคดีตามคำขอของโจทก์ลงวันที่15 กันยายน 2530 ต่อไป ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน

Share