คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1610/2538

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารแล้วข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายและได้หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายไว้การกระทำทั้งสามตอนต่อเนื่องเชื่อมโยงอยู่ในวาระเดียวกันพฤติการณ์ของจำเลยมีเจตนาเพียงต้องการข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจึงเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ขอให้ ลงโทษ จำเลย ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,91, 276, 283, 284, 310
จำเลย ให้การ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้น พิพากษา ว่า จำเลย มี ความผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคสอง , 284 วรรคแรก , 310 วรรคแรก ประกอบ มาตรา 83ให้ เรียง กระทง ลงโทษ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิด ตามมาตรา 276 วรรคสอง , 284 วรรคแรก ให้ ลงโทษ ตาม มาตรา 276 วรรคสองอันเป็น บทหนัก ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 16 ปี ความผิดตาม มาตรา 310 วรรคแรก ให้ ลงโทษ จำคุก 1 ปี รวม จำคุก จำเลยทั้งสิ้น 17 ปี ข้อหา อื่น นอกจาก นี้ ให้ยก
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษาแก้ เป็น ว่า จำเลย มี อายุ ขณะ กระทำผิดยัง ไม่เกิน 17 ปี ลด มาตรา ส่วน โทษ ลง กึ่งหนึ่ง ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 75 แล้ว ให้ ลงโทษ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสองจำคุก 8 ปี ลงโทษ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 วรรคแรกจำคุก 6 เดือน รวม จำคุก 8 ปี 6 เดือน นอกจาก ที่ แก้ ให้ เป็น ไป ตามคำพิพากษา ศาลชั้นต้น
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “พิเคราะห์ แล้ว ข้อเท็จจริง รับฟัง ได้ว่าเมื่อ วันที่ 10 กรกฎาคม 2531 เวลา ประมาณ 13 นาฬิกา จำเลย ได้ขับ รถจักรยานยนต์ โดย มี นางสาว เกียรติสุดา โพธิ์แป้น ผู้เสียหาย นั่ง ซ้อน ท้าย ตรง กลาง นาย ทวี มโนสงค์ เพื่อน จำเลย นั่ง ซ้อน ท้าย ใน ตอนท้าย จาก บ้าน หมู่ ที่ 2 ตำบล ขุนทะเล อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัด สุราษฎร์ธานี ไป ที่ บ้าน นาย นอบ มโนสงค์ ลุง ของ นาย ทวี ที่ ตำบล ดอนตะโก อำเภอท่าศาลา จังหวัด นครศรีธรรมราช ต่อมา วันที่ 6 กันยายน 2531 ผู้เสียหาย และ บิดา ของ ผู้เสียหาย ได้ เข้าแจ้งความ ต่อ พันตำรวจโท งามศักดิ์ เกื้อจรูญ พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธร อำเภอ เมือง สุราษฎร์ธานี ว่า จำเลย กับ นาย ทวี ข่มขืน กระทำ ชำเรา ผู้เสียหาย ซึ่ง พันตำรวจโท งามศักดิ์ ได้ ส่งตัว ผู้เสียหาย ไป ตรวจ ร่างกาย ที่ โรงพยาบาล สุราษฎร์ธานี ผล การ ตรวจปรากฏว่า ผู้เสียหาย ตั้ง ครรภ์ ประมาณ 6 อาทิตย์ ตาม ผล การ ตรวจ ชันสูตรของ แพทย์ เอกสาร หมาย จ. 4 ซึ่ง ต่อมา ทาง โรงพยาบาล ได้ ทำแท้งให้ ผู้เสียหาย วันที่ 27 พฤศจิกายน 2533 นาย ดาบตำรวจ ประสิทธิ์ ขุนทองจันทร์ เจ้าพนักงาน ตำรวจ สถานีตำรวจภูธร ตำบล ขุนทะเล ได้ จับ จำเลย ตาม หมายจับ ที่ พนักงานสอบสวน ได้ ออก ไว้ ตาม บันทึก การ จับกุมเอกสาร หมาย จ. 3
ปัญหา ที่ ต้อง วินิจฉัย ตาม ฎีกา ของ จำเลย มี ว่า จำเลย ได้ ร่วม กับนาย ทวี มโนสงค์ ล่อลวง ผู้เสียหาย ไป ทำการ ข่มขืน กระทำ ชำเรา ตาม ฟ้อง หรือไม่ จำเลย กล่าวอ้าง ใน ฎีกา ว่า ผู้เสียหาย เบิกความ เกี่ยวกับพฤติการณ์ ที่ อ้างว่า ถูก จำเลย กับ นาย ทวี เข้า ข่มขืน กระทำ ชำเรา แตกต่าง กับ ที่ ได้ ให้การ ไว้ ใน ชั้นสอบสวน ทำให้ เห็น เป็น พิรุธ ว่า มิได้เบิกความ ตาม ความ เป็น จริง เหตุ ที่ ผู้เสียหาย เบิกความ ว่า จำเลยร่วมกับ นาย ทวี ข่มขืน กระทำ ชำเรา ผู้เสียหาย ก็ เพราะ ถูก บิดา ของ ผู้เสียหาย บังคับ ให้ กล่าวหา จำเลย เนื่องจาก ไม่พอ ใจ ที่ จำเลย มี ส่วน เกี่ยวข้องกับ การ หลบหนี ไป ของ ผู้เสียหาย กับ นาย ทวี และ แม้ จำเลย นำ นางสาว มิรินด้า โพธิ์แป้น มา เบิกความ ได้ ก็ ไม่อาจ ชี้ ชัด ได้ว่า ผู้เสียหาย ชอบพอ กับ นาย ทวี และนายนับ สุทธิพันธ์ กำนัน ตำบล ดอนตะโก พยาน จำเลย เบิกความ ว่า เมื่อ พยาน ได้ ถาม ผู้เสียหาย แล้ว ผู้เสียหาย บอก ว่า ผู้เสียหาย สมัครใจ มา กับ นาย ทวี คำเบิกความ ของ นาย นับ ซึ่ง เป็น คนกลาง ไม่มี ส่วนได้เสีย กับ จำเลย จึง มี น้ำหนัก รับฟัง ได้ว่า ผู้เสียหาย ไป กับ นาย ทวี โดย สมัครใจ โดย ที่ จำเลย มิได้ เกี่ยวข้อง กับ การ ร่วมประเวณี ระหว่าง ผู้เสียหาย กับ นาย ทวี แต่อย่างใด พยานหลักฐาน ที่ โจทก์ นำสืบ จึง ยัง เป็น ที่ สงสัย อยู่ ว่า จำเลย ได้ กระทำผิดตาม ฟ้อง หรือไม่ ควร ยก ประโยชน์ แห่ง ความ สงสัย ให้ เป็น คุณ แก่ จำเลยเห็นว่า ผู้เสียหาย เบิกความ ว่า จำเลย บอก ว่า ป้า ของ ผู้เสียหาย ที่ ป่วยอยู่ โรงพยาบาล ใกล้ จะ ถึงแก่ความตาย แล้ว จะ พา ผู้เสียหาย ไป ดูผู้เสียหาย หลงเชื่อ จึง นั่ง ซ้อน ท้ายรถ จักรยานยนต์ ไป กับ จำเลย แต่จำเลย กลับ พา ผู้เสียหาย ไป ที่อื่น แล้ว รับ นาย ทวี เพื่อน จำเลย นั่ง ซ้อน ท้ายรถ จักรยานยนต์ คัน เดียว กัน นั้น ไป ที่ บ้าน ญาติ ของ นาย ทวี ที่ จังหวัด นครศรีธรรมราช โดย นาย ทวี ใช้ อาวุธปืน ขู่ บังคับ ไม่ให้ ผู้เสียหาย ขัดขืน เมื่อ ไป ที่ บ้าน ญาติ นาย ทวี แล้ว ใน ตอน กลางคืน จำเลย ได้ ใช้ อาวุธปืน ขู่ บังคับ ผู้เสียหาย แล้ว ข่มขืน กระทำ ชำเรา ผู้เสียหายจาก นั้น นาย ทวี ก็ ใช้ อาวุธปืน ขู่ บังคับ ผู้เสียหาย แล้ว ข่มขืน กระทำ ชำเรา ผู้เสียหาย อีก ต่อมา จำเลย กับ นาย ทวี ได้ พา ผู้เสียหาย ไป ที่อื่น อีก หลาย แห่ง และ ได้ ผลัด กัน ข่มขืน กระทำ ชำเรา ผู้เสียหาย อีกหลาย วัน หลังจาก นั้น นาย ทวี บังคับ ให้ ผู้เสียหาย ไป กับ นาย ทวี และ ข่มขืน กระทำ ชำเรา ผู้เสียหาย โดย ตลอด จน เวลา เกือบ สอง เดือนผู้เสียหาย จึง หลบหนี ออก มา ได้ เมื่อ หนี ออก มา ได้ แล้ว ผู้เสียหาย ได้ ไป พบพี่สาว ที่ บ้านพัก ศูนย์ ช่าง ที่ 10 แล้ว เล่าเรื่อง ที่ เกิดขึ้น ให้ ฟังพี่สาว ได้ ไป ตาม บิดา ผู้เสียหาย มา จาก นั้น ผู้เสียหาย ได้ ไป แจ้งความต่อ พันตำรวจโท งามศักดิ์ เกื้อจรูญ พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธร อำเภอ เมือง สุราษฎร์ธานี ว่า จำเลย กับ นาย ทวี ร่วมกัน ล่อลวง ผู้เสียหาย ไป ทำการ ข่มขืน กระทำ ชำเรา ผู้เสียหาย ซึ่ง ตรง กับ ที่นาง ประไพ โพธิ์แป้น มารดา ผู้เสียหาย ซึ่ง เบิกความ ว่า เมื่อ ผู้เสียหาย หลบหนี มา แล้ว ผู้เสียหาย ได้ เล่า ให้ ฟัง ว่า จำเลย กับนาย ทวี ล่อลวง ไป ทำการ ข่มขืน กระทำ ชำเรา ผู้เสียหาย บิดา ผู้เสียหาย จึง พา ผู้เสียหาย ไป แจ้งความ ต่อ พนักงานสอบสวน พันตำรวจโท งามศักดิ์ พนักงานสอบสวน พยานโจทก์ ก็ เบิกความ ว่า ผู้เสียหาย ได้ มา แจ้งความ ว่า ถูก จำเลย กับ นาย ทวี หลอกลวง พา ไป ทำการ ข่มขืน กระทำ ชำเรา จน ผู้เสียหาย ต้อง หลบหนี ออก มา คำเบิกความ ของ ผู้เสียหายดังกล่าว ย่อม มี น้ำหนัก รับฟัง ได้ว่า จำเลย ได้ ล่อลวง ผู้เสียหายไป แล้ว ใช้ อาวุธปืน ขู่ บังคับ ผู้เสียหาย แล้ว ข่มขืน กระทำ ชำเราผู้เสียหาย หลาย ครั้ง หลาย วัน เพราะ หาก ไม่เป็น ความจริง แล้วผู้เสียหาย ซึ่ง เป็น ญาติ สนิท กับ จำเลย และ ไม่เคย มี เรื่อง โกรธเคืองกับ จำเลย มา ก่อน คง ไม่ กล้า เบิกความ ยืนยัน ถึง การกระทำ ผิด ของ จำเลยและ เป็น การ ทำให้ ผู้เสียหาย ต้อง ได้รับ ความ อับอายขายหน้า เช่นนั้นและ คำเบิกความ ของ นาย ประไพ กับ พันตำรวจโท งามศักดิ์ ยัง สอดคล้อง ต้อง กัน กับ คำเบิกความ ของ ผู้เสียหาย อีก ด้วย ดังนั้น เมื่อ พิจารณาคำเบิกความ ของ ผู้เสียหาย ประกอบ กับ พยานหลักฐาน อื่น ตาม ที่โจทก์ นำสืบ แล้ว เชื่อ ว่า ผู้เสียหาย ได้ เบิกความ ตาม ความสัตย์ จริงหา ได้ แกล้ง กล่าวหา จำเลย ดัง ที่ จำเลย กล่าวอ้าง ไม่ แม้ คำเบิกความใน ชั้น ศาล ของ ผู้เสียหาย จะ แตกต่าง กับ คำให้การ ชั้นสอบสวน อยู่ บ้างก็ เป็น เพียง แตกต่าง ใน รายละเอียด ปลีกย่อย เท่านั้น หา ทำให้ สาระสำคัญเสีย ไป แต่อย่างใด ไม่ ข้อ ที่ จำเลย กล่าวอ้าง ว่า ผู้เสียหาย รักใคร่ ชอบพอกับ นาย ทวี ผู้เสียหาย จึง สมัครใจ ไป กับ นาย ทวี โดย ที่ นางสาว มิรินด้า โพธิ์แป้น ก็ รู้ ดี นั้น เมื่อ จำเลย ไม่นำ นางสาว มิรินด้า มา เบิกความ ยืนยัน ให้ เห็น เป็น ดัง ที่ จำเลย อ้าง แล้ว ข้ออ้าง ดังกล่าว จึง ไม่มี น้ำหนัก รับฟัง ได้ และ ที่ อ้างว่า นาย นับ สุทธิพันธ์ ได้ เบิกความ ว่า เมื่อ สอบถาม ผู้เสียหาย แล้ว ผู้เสียหาย บอก ว่า สมัครใจ มา กับ นาย ทวี จน นาย นับ ได้ บันทึก ความสมัครใจ ของ ผู้เสียหาย ไว้ จึง แสดง ว่า ผู้เสียหาย สมัครใจ มา กับ นาย ทวี นั้น เห็นว่า คำเบิกความ ของ นาย นับ ไม่ สม เหตุผล เพราะ หาก ได้ บันทึก ถึง ความสมัครใจ ของ ผู้เสียหาย ไว้ จริง แล้ว นาย นับ หรือ จำเลย ย่อม มี บันทึก ดังกล่าว มา แสดง ได้ แต่ นาย นับ ก็ เบิกความ ว่า บันทึก ดังกล่าว หาย ไป แล้ว คำเบิกความ ของ นาย นับ ที่ ว่า ผู้เสียหาย สมัครใจ มา กับ นาย ทวี จึง เป็น พิรุธ ไม่มี น้ำหนัก รับฟัง ได้ ดัง ที่ จำเลย กล่าวอ้าง พยานหลักฐาน โจทก์ จึง รับฟัง ได้ แจ้งชัด ว่า จำเลย ได้ กระทำผิด ตาม ฟ้องที่ ศาลล่าง ทั้ง สอง วินิจฉัย ว่า จำเลย กระทำผิด ตาม ฟ้อง นั้น ชอบแล้วฎีกา ของ จำเลย ฟังไม่ขึ้น แต่ ที่ ศาลล่าง ทั้ง สอง พิพากษา ว่า จำเลย กระทำความผิด ฐาน พา หญิง ไป เพื่อ การ อนาจาร และ ฐาน ข่มขืน กระทำ ชำเราหญิง ซึ่ง มิใช่ ภริยา ของ ตน อัน มี ลักษณะ เป็น การ โทรมหญิง กรรมหนึ่งและ ฐาน หน่วงเหนี่ยว กักขัง ผู้อื่น อีก กรรมหนึ่ง รวมเป็น 2 กรรม นั้นเห็นว่า ความผิด ฐาน พา หญิง ไป เพื่อ การ อนาจาร ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 284 วรรคหนึ่ง ฐาน ข่มขืน กระทำ ชำเรา หญิง ซึ่ง มิใช่ ภริยาของ ตน อัน มี ลักษณะ เป็น การ โทรมหญิง ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคสอง และ ฐาน หน่วงเหนี่ยว กักขัง ผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 ตาม ที่ โจทก์ ฟ้อง นั้น การกระทำ ทั้ง สามตอน ดังกล่าว ต่อเนื่อง เชื่อม โยง อยู่ ใน วาระ เดียว กัน พฤติการณ์ ของ จำเลยคดี นี้ มี เจตนา เพียง ต้องการ ข่มขืน กระทำ ชำเรา ผู้เสียหาย เท่านั้นจึง เป็น การกระทำ กรรมเดียว เป็น ความผิด ต่อ กฎหมาย หลายบท ที่ศาลล่าง ทั้ง สอง พิพากษา มา นั้น เป็น การ ไม่ชอบ เห็นควร แก้ไข ให้ ถูกต้อง ”
พิพากษาแก้ เป็น ว่า ให้ ลงโทษ จำเลย ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคสอง จำคุก 8 ปี กระทง เดียว นอกจาก ที่ แก้ ให้เป็น ไป ตาม คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ ภาค 3

Share