แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 11,830 บาท ฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ 3 เกี่ยวกับโจทก์ที่ 2จึงมีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
จำเลยที่ 3 ไม่ได้เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย โจทก์ที่ 1 และที่ 2 จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 ปัญหาอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คดีของจำเลยที่ 3 จะต้องห้ามฎีกาในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ 2 ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกฟ้องโจทก์ที่ 2 ให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 3 ซึ่งต้องห้ามฎีกาด้วยได้ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา142 (5) ประกอบด้วยมาตรา 246, 247
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร ๕ ฌ – ๐๑๓๘ จำเลยที่ ๑เป็นผู้ขับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ๘๑ – ๖๑๑๒ กรุงเทพมหานครจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๑ ส่วนจำเลยที่ ๔ เป็นผู้รับ-ประกันภัยรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ๘๑ – ๖๑๑๒ กรุงเทพมหานคร ของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ ๒ ด้วยความประมาทเลินเล่อชนรถจักรยานยนต์ของโจทก์ที่ ๑ ซึ่งมีโจทก์ที่ ๒ นั่งซ้อนท้ายล้มลง เป็นเหตุให้โจทก์ที่ ๑ ได้รับอันตรายสาหัส ส่วนโจทก์ที่ ๒ ได้รับบาดเจ็บ แต่โจทก์ทั้งสองขอค่าเสียหายเพียง ๓๘๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ กระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และจำเลยที่ ๔ ในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ ๒ ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ด้วย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินจำนวน ๓๘๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ทั้งสองพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ใช่ลูกจ้างและกระทำการไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เหตุที่รถยนต์บรรทุกชนรถจักรยานยนต์ของโจทก์ที่ ๑ ก็เพราะความประมาทของโจทก์ที่ ๑ ฝ่ายเดียวไม่ใช่เกิดจากการกระทำของจำเลยที่ ๑ อนึ่ง จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ได้ประกอบกิจการค้าร่วมกันหรือเป็นตัวการตัวแทนซึ่งกันและกัน สำหรับค่าเสียหายที่โจทก์ทั้งสองเรียกร้องมานั้นสูงเกินความจริง จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๔ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ใช่ลูกจ้างกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เหตุคดีนี้เกิดจากความประมาทของโจทก์ที่ ๑ ทั้งโจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ บาดเจ็บเพียงเล็กน้อย เสียค่ารักษาพยาบาลและค่าขาดประโยชน์จากการทำงานไม่มากเท่าฟ้อง จำเลยที่ ๔ เป็นผู้รับประกันภัยจะต้องรับผิดตามกรมธรรม์ไม่เกินคนละ ๕๐,๐๐๐ บาท ต่ออุบัติเหตุหนึ่งครั้ง ดังนั้นถ้าจำเลยที่ ๔ จะต้องรับผิดก็ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท เท่านั้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ร่วมกันชำระเงิน ๒๓๒,๗๑๔ บาท แก่โจทก์ที่ ๑ และจำนวน ๑๑,๘๓๐ บาทแก่โจทก์ที่ ๒ โดยให้จำเลยที่ ๔ ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ชำระเงิน๕๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ที่ ๑ และจำนวน ๑๑,๘๓๐ บาท แก่โจทก์ที่ ๒ ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินที่ต้องรับผิดนับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้เถียงกันฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ ได้ขับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ๘๑ – ๖๑๑๒ กรุงเทพมหานครซึ่งเป็นของจำเลยที่ ๒ ไปตามถนนจรัญสนิทวงศ์มุ่งหน้าไปทางสะพานพระราม ๖โจทก์ที่ ๑ ขับรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร ๕ ฌ – ๐๑๓๘ไปในทางเดียวกันมีโจทก์ที่ ๒ นั่งซ้อนท้าย เมื่อรถทั้งสองคันแล่นมาถึงปากซอยดวงดีได้เกิดเฉี่ยวชนกัน เป็นเหตุให้โจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ ได้รับอันตรายแก่กาย มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ว่า จำเลยที่ ๑ ได้ขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองได้รับอันตรายแก่กาย และจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๑ หรือไม่ กับค่าเสียหายของโจทก์ทั้งสองมีเพียงใด เห็นว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ ๒ จำนวน๑๑,๘๓๐ บาท ฎีกาของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เกี่ยวกับโจทก์ที่ ๒ จึงมีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๘ วรรคหนึ่ง ฎีกาของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓เกี่ยวกับโจทก์ที่ ๒ ข้างต้นเป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีการับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เกี่ยวกับโจทก์ที่ ๒ ไม่ได้คงรับวินิจฉัยให้เฉพาะฎีกาที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ ๑ ซึ่งมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเกินกว่า ๒๐๐,๐๐๐ บาท เท่านั้น ในปัญหาที่ว่าจำเลยที่ ๑ ได้ขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อหรือไม่นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์บรรทุกเปลี่ยนช่องเดินรถกะทันหันเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ที่โจทก์ที่ ๑ขับ ซึ่งแล่นอยู่ข้าง ๆ เป็นเหตุให้โจทก์ที่ ๑ ได้รับอันตรายแก่กาย เป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ ๑ แต่ฝ่ายเดียว ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่าจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ หรือไม่ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ต่างปฏิเสธว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ นั้น ได้ความจากที่โจทก์ที่ ๑ นำสืบและจำเลยที่ ๓ เบิกความยอมรับว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน๘๑ – ๖๑๑๒ กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ ๒ ประกอบกิจการค้าขายเครื่องอุปกรณ์การก่อสร้างชื่อร้านแสงทองขณะเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์บรรทุกทรายซึ่งเป็นกิจการของจำเลยที่ ๒ หลังเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ หลบหนีเข้าไปในร้านแสงทองซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ จำเลยที่ ๒ ไม่ได้นำสืบหักล้างให้เห็นว่ารถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุไม่ใช่ของตน และจำเลยที่ ๑ ไม่ได้เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยที่ ๒ เป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๑ ขณะเกิดเหตุได้ขับรถยนต์บรรทุกไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ จริง ส่วนคดีของจำเลยที่ ๓ นั้น จากทางนำสืบของโจทก์ที่ ๑ ได้ความแต่เพียงว่า หลังจากเกิดเหตุแล้ว จำเลยที่ ๓เป็นผู้ติดต่อขอชดใช้ค่าเสียหายเท่านั้น ไม่ได้ความว่าจำเลยที่ ๓ ได้ประกอบธุรกิจเกี่ยวข้องกับจำเลยที่ ๒ อย่างใด คงได้ความจากจำเลยที่ ๓ ว่าร้านแสงทองเป็นของจำเลยที่ ๒ แต่ให้นายพิศาลซึ่งเป็นบุตรเป็นผู้ดำเนินกิจการแทน จำเลยที่ ๓ มีกิจการของตนเองต่างหากไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ ที่จำเลยที่ ๓ ไปตกลงเรื่องค่าเสียหายเพราะนายพิศาลน้องชายขอร้องให้ไปช่วยเจรจาเท่านั้น ข้อเท็จจริงจึงยังรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ ๓ เป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๓ จึงไม่ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการละเมิดของจำเลยที่ ๑ ด้วย สำหรับปัญหาที่ว่า โจทก์ที่ ๑เสียหายเพียงใดนั้น จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า ค่ารักษาพยาบาลของโจทก์ที่ ๑ ตามหลักฐานเป็นใบเสร็จรับเงินโรงพยาบาลเอกชนซึ่งสูงกว่าทางโรงพยาบาลของทางราชการ ๕ ถึง ๑๐ เท่า ค่าเสียหายส่วนนี้ถ้ามีอยู่จริง ก็ไม่ควรเกิน๔๐,๐๐๐ บาท นั้น ตามฎีกาของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ ยอมรับว่า โจทก์ที่ ๑ได้เสียค่ารักษาพยาบาลจริงตามใบเสร็จรับเงินที่โจทก์ที่ ๑ อ้าง คงเถียงว่าสูงเกินไปเพราะเป็นโรงพยาบาลเอกชนเท่านั้น เห็นว่า การที่โจทก์ที่ ๑ จะไปรักษาที่โรงพยาบาลใดย่อมเป็นสิทธิของโจทก์ที่ ๑ เมื่อโจทก์ที่ ๑ ได้เสียค่ารักษาพยาบาลไปจริง และจำเลยที่ ๒ ไม่ได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น จำเลยที่ ๒ ก็ต้องรับผิดชอบตามนั้น ที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า ค่าขาดประโยชน์ของโจทก์ที่ ๑ ไม่เกินเดือนละ๒,๐๐๐ บาท นั้น เห็นว่า โจทก์ที่ ๑ นำสืบว่า โจทก์ที่ ๑ ประกอบอาชีพเป็นช่างซ่อมเครื่องถ่ายเอกสารได้รับเงินเดือนเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท ได้รับค่าคอมมิชชั่นและเบี้ยเลี้ยงอีกเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท ระหว่างรักษาตัวไปทำงานไม่ได้เป็นเวลา๕ เดือน ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ให้เดือนละ ๔,๐๐๐ บาท เป็นเวลา๕ เดือน เป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ ไม่ได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่นที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายส่วนนี้เป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท จึงเหมาะสมแล้วที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า ค่ารักษาพยาบาลในอนาคตไม่ควรเกิน ๑๐,๐๐๐ บาท นั้นเห็นว่า โจทก์ที่ ๑ ฟ้องเรียกเอาค่าเสียหายส่วนนี้เนื่องจากการละเมิดของจำเลยที่ ๑ ทำให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ไหปลาร้าขวาหัก ข้อเข่าขาขวาหลุด อันเป็นความเสียหายที่มิใช่ตัวเงิน โจทก์ที่ ๑ มีสิทธิเรียกเอาได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๖ เมื่อพิจารณาถึงความเสียหายที่โจทก์ที่ ๑ ได้รับแล้ว เห็นว่า ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ให้โจทก์ที่ ๑เป็นเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท เหมาะสมแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดแล้วไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข แต่โดยที่คดีนี้ได้วินิจฉัยมาแล้วว่าจำเลยที่ ๓ไม่ได้เป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๓ จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ด้วย โจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๓ ปัญหาอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คดีของจำเลยที่ ๓ จะต้องห้ามฎีกาในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ ๒ ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกฟ้องโจทก์ที่ ๒ ให้มีผลไปถึงจำเลยที่ ๓ ซึ่งต้องห้ามฎีกาด้วยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๔๒ (๕) ประกอบด้วยมาตรา ๒๔๖, ๒๔๗
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฎีกาของจำเลยที่ ๒ ในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ ๒ ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๓นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.