คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6405/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

คดีอาญาที่จำเลยถูกฟ้องเป็นเรื่องที่โจทก์เป็นผู้เสียหายกล่าวหาว่า จำเลยปลอมลายมือชื่อโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียงในบันทึกถ้อยคำ แล้วนำไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ที่ดินเพื่อดำเนินการออกใบจองให้จำเลย อันเป็นการปลอมและใช้เอกสารปลอม ส่วนคดีนี้โจทก์ขอให้เพิกถอนใบจองที่ออกทับที่ดินของโจทก์ สิทธิการฟ้องคดีนี้จึงไม่ต้องอาศัยมูลความผิดทางอาญาฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม กรณีจึงไม่ใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46
จำเลยให้การเพียงว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยได้ครอบครองต่อจากบิดาจึงไม่มีปัญหาเรื่องการแย่งการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375 วรรคสอง และปัญหาดังกล่าวนี้ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยเพิ่งยกขึ้นมาในชั้นฎีกา จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนใบจองที่ดิน ให้จำเลยถอนเสาที่ปักอยู่ในที่ดินออก และห้ามจำเลยกับบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้อง และให้โจทก์ถอนคำคัดค้านการรังวัดที่ดิน ณ สำนักงานที่ดินอำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ ห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินของจำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ถึงแก่กรรม นายผลยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทตามใบจอง (น.ส.2) เล่มที่ 11 (16) หน้า 193 สารบบเลขที่ 186 หมู่ที่ 9 ตำบลศรีมหาโพธิ อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี พื้นที่ภายในกรอบสีแดงตามแผนที่พิพาทเป็นสิทธิครอบครองของจำเลย ให้โจทก์ถอนคำคัดค้านการรังวัดและชี้แนวเขตที่ดินพิพาทเพื่อขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยต่อเจ้าพนักงานที่ดิน (ที่ถูก สำนักงานที่ดินอำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี) หากโจทก์ไม่ปฏิบัติให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ห้ามโจทก์และบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้เพิกถอนใบจองเล่มที่ 11 (16) หน้า 193 สารบบเลขที่ 186 หมู่ที่ 9 ตำบลศรีมหาโพธิ อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี ให้จำเลยถอนเสาที่จำเลยปักบนที่ดินออกและห้ามจำเลยกับบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ ยกฟ้องแย้งจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกมีว่าโจทก์หรือจำเลยฝ่ายใดเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท โจทก์มีตัวโจทก์และนายผลเป็นพยานเบิกความไว้ได้ความว่า หลังจากซื้อที่ดิน นายผลได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตลอดมา โดยขุดดินลูกรังนำไปถมเป็นถนน ส่วนจำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่า จำเลยครอบครองที่ดินตามใบจองต่อจากบิดา โจทก์มิได้คัดค้านในขณะที่จำเลยขอออกใบจอง และเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านและทนายจำเลยถามติงว่า จำเลยกับบิดาเป็นผู้ขุดดินลูกรังในที่ดินพิพาทนำออกขายจนบ่อดินลูกรังมีความลึกประมาณ 6 เมตร ต่อมานายผลจึงเข้าไปขุดต่อจนมีความลึกประมาณ 10 เมตร เห็นว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าซึ่งทั้งทางฝ่ายโจทก์และจำเลยต่างอ้างว่าเป็นผู้ครองครองทำประโยชน์ในที่ดินโดยปลูกต้นยูคาลิปตัสและขุดดินลูกรังนำออกขาย โดยต่างฝ่ายต่างมีพยานบุคคลมาเบิกความสนับสนุน เมื่อพิจารณารายงานกระบวนพิจารณาฉบับวันที่ 4 พฤษภาคม 2543 ที่ศาลชั้นต้นเดินเผชิญสืบที่ดินพิพาท ประกอบแผนที่และภาพถ่ายท้ายรายงานกระบวนพิจารณาแล้วได้ความว่า ภายในที่ดินพิพาทมีบ่อดินลูกรังอยู่ 2 บ่อ มีความลึกประมาณ 10 เมตร บ่อดินลูกรังมีเนื้อที่ประมาณ 1 ใน 4 ของที่ดินพิพาท แสดงว่าที่ดินพิพาทมีสภาพเป็นดินลูกรังและถูกขุดขึ้นมาใช้ประโยชน์เป็นเวลานานก่อนเกิดกรณีพิพาทกันขึ้นระหว่างโจทก์กับจำเลย และฝ่ายโจทก์มีนายฉลวย นายไพศาล นายวัชรินทร์ และนายชวนเป็นพยานเบิกความไว้ได้ความว่า นายผลเป็นผู้ขุดดินลูกรังในที่ดินพิพาทโดยใช้รถขุดตักดินใส่รถบรรทุกนำไปถมเป็นถนนที่นายผลรับจ้างจากทางราชการ จำเลยเบิกความเพียงว่า จำเลยกับบิดาร่วมกันใช้แรงกายขุดดินลูกรังจนลึก 6 เมตร แต่จำเลยแถลงรับในรายงานกระบวนพิจารณาการเดินเผชิญสืบของศาลชั้นต้นไว้ว่าขุดบ่อดินลูกรังจนลึกเพียง 2 เมตร ส่วนคำเบิกความของพันตำรวจตรีสนมพยานจำเลยที่เบิกความว่า เป็นผู้รับแจ้งความจากจำเลยเรื่องบุกรุกนั้น คงรับฟังได้เพียงว่าจำเลยเจรจาตกลงกับบุตรของนายผลเท่านั้น ที่จำเลยอ้างว่า โจทก์มิได้คัดค้านการขอออกใบจองนั้น จำเลยนำสืบว่า ทางราชการได้ส่งประกาศเรื่องออกใบจองที่ดินให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียง และโจทก์ได้รับประกาศดังกล่าวไว้แล้ว โจทก์นำสืบว่า ลายมือชื่อโจทก์ที่ปรากฏอยู่ในสำเนาใบรับเอกสารหมาย จ.29 หรือ ล.1 รวมทั้งที่ปรากฏอยู่ในสำเนาบันทึกถ้อยคำเป็นลายมือชื่อปลอม เห็นว่า จำเลยนำสืบเพียงว่าโจทก์ได้รับเอกสารหมาย ล.1 ไว้แล้ว ส่วนโจทก์ก็มีพันตำรวจตรีพิษณุเป็นพยานมาเบิกความว่า พยานเป็นผู้ตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อ กิมลี้ ที่ปรากฏอยู่ในเอกสารหมาย จ.4 และ จ.29 โดยเปรียบเทียบกับลายมือชื่อโจทก์ที่ปรากฏอยู่ในเอกสารอื่นตามที่พนักงานสอบสวนส่งมา พยานตรวจสอบแล้วลงความเห็นว่าน่าจะไม่ใช่ลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกัน ตามสำเนารายงานการตรวจพิสูจน์ที่รวมอยู่ในเอกสารหมาย จ.35 และคำเบิกความของนายนิกรพยานโจทก์ และนายพัฒนชัยพยานจำเลยซึ่งบุคคลทั้งสองนี้เป็นเจ้าหน้าที่ที่ดินที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำเอกสารหมาย จ.4 และ จ.29 หรือ ล.1 ก็มิได้ยืนยันว่าโจทก์ได้ลงลายมือชื่อไว้ในเอกสารดังกล่าวข้อเท็จจริงยังรับฟังไม่ได้แน่ชัดว่าลายมือชื่อ กิมลี้ ที่ปรากฏอยู่ในเอกสารหมาย จ.4 และ จ.29 หรือ ล.1 เป็นลายมือชื่อโจทก์หรือไม่ สำหรับฎีกาของจำเลยที่ว่า ในคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาปลอมและใช้เอกสารปลอมและโจทก์เป็นโจทก์ร่วมนั้น ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องโดยวินิจฉัยไว้ความว่าโจทก์น่าจะลงชื่อไว้ในเอกสารหมาย จ.49 ดังนั้น ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 นั้น เห็นว่า คดีอาญาที่จำเลยถูกฟ้องเป็นเรื่องที่โจทก์เป็นผู้เสียหายกล่าวหาว่า จำเลยปลอมลายมือชื่อโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียงลงในบันทึกถ้อยคำ แล้วนำไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ที่ดินเพื่อดำเนินการออกใบจองให้จำเลย อันเป็นการปลอมและใช้เอกสารปลอม ส่วนคดีนี้เป็นคดีที่โจทก์ขอให้เพิกถอนใบจองที่ออกทับที่ดินของโจทก์ สิทธิการฟ้องคดีนี้ไม่ต้องอาศัยมูลความผิดทางอาญาฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม กรณีจึงไม่ใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา การพิพากษาคดีนี้จึงไม่ตกอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 คดีนี้โจทก์มีพยานหลักฐานมานำสืบถึงการได้มาซึ่งที่ดินพิพาทได้แก่ แบบแจ้งการครอบครองที่ดินและสำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดิน ได้ความว่า โจทก์ซื้อที่ดินมาจากผู้อื่นตั้งแต่ปี 2511 และได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนจำเลยคงมีหลักฐานเพียงใบจองซึ่งทางราชการออกให้เมื่อปี 2539 สำหรับพยานหลักฐานของจำเลยเกี่ยวกับการเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทยังขัดแย้งกันเองไม่สมเหตุสมผล พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท การออกใบจองทับที่ดินของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น แต่ตามแผนที่ปรากฏว่าใบจองทับที่ดินของโจทก์เนื้อที่ 11 ไร่ 34 ตารางวา โจทก์จึงไม่มีอำนาจขอให้เพิกถอนใบจองทั้งฉบับ
ส่วนที่จำเลยฎีกาข้อต่อมาว่า โจทก์มิได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี ศาลชอบที่จะยกฟ้องโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง เสีย แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท จำเลยขอออกใบจองทับที่ดินพิพาท ขอให้เพิกถอนใบจอง ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยจำเลยครอบครองต่อจากบิดา ประเด็นข้อพิพาทมีว่า โจทก์หรือจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท ไม่มีปัญหาเรื่องแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง ฎีกาของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นเรื่องนอกประเด็นถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 และไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
อนึ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้ยกฟ้องแย้ง โดยมิได้มีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนใบจองเล่ม 11 (16) หน้า 193 สารบบเลขที่ 186 หมู่ที่ 9 ตำบลศรีมหาโพธิ อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี เฉพาะส่วนที่ทับที่ดินของโจทก์ตามแผนที่เอกสารหมาย จ.ล.1 เนื้อที่ 11 ไร่ 34 ตารางวา ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share