คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2339/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามเช็ค จำเลยให้การรับว่าเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คฉบับพิพาท แต่จำเลยไม่ต้องรับผิดใช้เงิน เพราะโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย ด้วยเหตุผลคือ (ก) โจทก์กับผู้มีชื่อ (ผู้ที่โจทก์อ้างว่าโอนเช็คพิพาทให้โจทก์) ร่วมกันเป็นผู้ขายสินค้าให้จำเลย แต่สินค้าเสื่อมคุณภาพจำเลยไม่ต้องชำระราคา และโดยที่จำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระค่าสินค้ารายนี้ จำเลยจึงชอบที่จะสั่งให้ธนาคารระงับการจ่ายได้ (ข)หากคดีฟังไม่ได้ตามข้อ(ก) จำเลยก็ขอต่อสู้ว่า โจทก์กับผู้มีชื่อดังกล่าวได้คบคิดกันโอนเช็คพิพาทให้โจทก์ เพื่อให้มาฟ้องบังคับเอากับจำเลยอันเป็นการฉ้อฉลจำเลย ดังนี้ ตามคำให้การของจำเลยในข้อ (ก) นั้น แม้โจทก์จะมิใช่ผู้รับเช็คไว้จากจำเลย แต่การที่ผู้มีชื่อรับเช็คไว้ก็ถือว่ารับในฐานะร่วมหรือแทนโจทก์นั่นเอง เมื่อโจทก์อยู่ในฐานะผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายร่วมกับผู้มีชื่อเช่นนี้แล้ว ย่อมไม่มีทางที่โจทก์จะเป็นผู้รับโอนเช็คพิพาทในลักษณะฉ้อฉลจำเลยตามข้อ (ข) ได้ คำให้การของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นคำให้การที่ขัดกันเองและไม่ชอบด้วยเหตุผลไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรค 2 จึงไม่ชอบที่จะนำสืบตามคำให้การของจำเลยได้เพราะถ้าจะสืบพยานตามคำให้การของจำเลยทั้งสองอย่าง จำเลยก็จะต้องสืบขัดแย้งกันเอง ทำให้รับฟังเป็นความจริงไม่ได้อยู่ในตัว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายในเช็คเพื่อชำระหนี้ให้กับผู้มีชื่อและผู้มีชื่อได้สลักหลังลอยชำระหนี้ให้โจทก์ โจทก์จึงเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาเช็คดังกล่าวขึ้นเงินไม่ได้ จึงขอให้จำเลยชำระเงินตามเช็คพร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยให้การรับว่าเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คฉบับที่โจทก์นำมาฟ้อง แต่จำเลยไม่ต้องรับผิดชดใช้เงินตามเช็คให้โจทก์ เพราะโจทก์มิใช่ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายด้วยเหตุผลคือ (ก) โจทก์กับผู้มีชื่อ (ผู้ที่โจทก์อ้างว่าเป็นผู้โอนเช็คพิพาทให้โจทก์) ได้ร่วมกันเป็นผู้ขายสินค้าจำพวกผงเคมีสำหรับใช้ทำพลาสติกให้แก่จำเลย แต่สินค้าที่ขายเสื่อมคุณภาพก่อนแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องชำระราคาค่าสินค้านั้นและโดยที่เช็คพิพาทจำเลยได้ออกเพื่อชำระหนี้ค่าสินค้ารายนี้ จำเลยจึงชอบที่จะสั่งให้ธนาคารระงับการจ่ายได้ (ข) หากคดีฟังไม่ได้ตามข้อ (ก) จำเลยก็ขอต่อสู้ว่า โจทก์กับผู้มีชื่อ (ผู้ที่โจทก์อ้างว่าเป็นผู้โอนเช็คพิพาทให้โจทก์) ไม่มีหนี้อย่างหนึ่งอย่างใดต่อกัน แต่ได้คบคิดโอนเช็คพิพาทให้แก่กันเพื่อให้โจทก์ฟ้องบังคับเอาเงินตามเช็คจากจำเลยอันเป็นการฉ้อฉลจำเลย จึงขอให้ยกฟ้อง

ในวันนัดชี้สองสถาน ศาลกำหนดประเด็นพิพาทว่า “โจทก์กับผู้ทรงเช็คคนก่อนคบคิดกันโอนเช็คพิพาทเพื่อฉ้อฉลจำเลยหรือไม่” และกำหนดให้จำเลยนำสืบก่อน ในวันสืบพยาน ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยและนัดฟังคำพิพากษา

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คำให้การของจำเลยขัดกัน ไม่ชอบด้วยกฎหมายโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาท พิพากษาให้จำเลยใช้เงินตามฟ้อง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำให้การของจำเลยในข้อ (ก) จำเลยกล่าวว่าจำเลยออกเช็คชำระหนี้ที่โจทก์กับผู้มีชื่อได้ร่วมกันขายสินค้าให้แก่จำเลย แม้โจทก์จะมิใช่เป็นผู้รับเช็คไว้จากจำเลย แต่การที่ผู้มีชื่อรับเช็คไว้ก็ถือว่ารับในฐานะร่วมหรือแทนโจทก์นั่นเอง ฉะนั้น เมื่อโจทก์อยู่ในฐานะผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายร่วมกับผู้มีชื่อเช่นนี้แล้ว ตามพฤติการณ์แห่งความเป็นจริงย่อมไม่มีทางที่โจทก์จะเป็นผู้รับโอนเช็คพิพาทในลักษณะที่ฉ้อฉลจำเลยได้ แต่ตามคำให้การของจำเลยในข้อ (ข) จำเลยอ้างว่าโจทก์กับผู้มีชื่อไม่มีหนี้สินต่อกันแต่ได้คบคิดโอนเช็คให้แก่กันเพื่อให้โจทก์ฟ้องบังคับเอาเงินตามเช็คจากจำเลยอันเป็นการฉ้อฉลจำเลยนั้น ย่อมมีความหมายว่าโจทก์กับจำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์ที่จะต้องชำระหนี้ต่อกัน รวมทั้งโจทก์กับผู้มีชื่อที่โอนเช็คพิพาทให้โจทก์ก็จะต้องไม่มีหนี้สินใด ๆ ต่อกันด้วย ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าคำให้การของจำเลยดังกล่าวเมื่ออ่านรวมกันทั้งหมดแล้ว เป็นคำให้การที่ขัดกันเองและไม่ประกอบด้วยเหตุผล ทั้งนี้เพราะถ้าข้อเท็จจริงเป็นอย่างคำให้การของจำเลยในข้อ (ก) แล้วข้อเท็จจริงอย่างในคำให้การของจำเลยในข้อ (ข) จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย คำให้การของจำเลยดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การดังกล่าว ฉะนั้น เมื่อคำให้การของจำเลยในตอนแรกคือ ข้อ (ก) และตอนหลังคือข้อ (ข) ขัดกันและไม่ประกอบชอบด้วยเหตุผลแล้วจึงไม่ชอบที่จะนำสืบตามคำให้การของจำเลยได้ เพราะถ้าจะสืบพยานตามคำให้การของจำเลยทั้งสองอย่าง จำเลยก็จะต้องสืบขัดแย้งกันเอง ทำให้รับฟังเป็นความจริงไม่ได้อยู่ในตัว

อนึ่ง โดยที่คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกเงินตามเช็ค จำเลยให้การรับว่าเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทที่โจทก์นำมาฟ้อง และเช็คพิพาทฉบับนี้ก็เป็นเช็คสั่งจ่ายเงินสดหรือผู้ถือโจทก์เป็นผู้มีเช็คพิพาทไว้ในความครอบครอง เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่น ก็ต้องถือว่าโจทก์เป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อโจทก์นำเช็คไปขึ้นเงินจากธนาคารไม่ได้ จำเลยซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายก็ต้องมีหน้าที่รับผิดชดใช้เงินตามเช็คให้โจทก์ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์สั่งงดสืบพยานและพิพากษาให้จำเลยชดใช้เงินตามเช็คพิพาทให้โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ยนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย

พิพากษายืน

Share