คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 790/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จะมีประเด็นในชั้นอุทธรณ์เพียงประเด็นเดียวว่าจะริบถ่านไม้ของกลางได้หรือไม่ก็ตาม ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจวินิจฉัยในทางที่เป็นประโยชน์แก่จำเลยว่า จำเลยไม่มีความผิดในข้อหานำของป่าเคลื่อนที่โดยไม่มีใบเบิกทางของพนักงานเจ้าหน้าที่กำกับได้ เพราะเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
จำเลยได้ถ่านไม้ของกลางมาโดยมิชอบ การที่จำเลยนำถ่านไม้ของกลางเคลื่อนที่ จึงมิใช่เป็นกรณีตามมาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 ซึงแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2518 มาตรา 18 อันจะพึงขอใบเบิกทางได้ ไม่เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 39
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีถ่านไม้อันเป็นของป่าหวงห้ามไว้ในความครอบครองเกินปริมาณที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประกาศกำหนดไว้ โดยจำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ จำเลยให้การรับสารภาพ ดังนี้ ต้องฟังข้อเท็จจริงตามฟ้อง จำเลยจะฎีกาอ้างข้อเท็จจริงซึ่งไม่ปรากฏในสำนวนว่าถ่านไม้ของกลาง จำเลยได้รับอนุญาตให้ตัดฟันและเผาโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กระทำผิดต่อกฎหมายหลายบทหลายกระทง กล่าวคือ
ก. จำเลยได้บังอาจนำถ่านไม้จำนวน ๒๐๐ กระสอบ ปริมาณ ๒๕ ลูกบาศก์เมตร อันเป็นของป่าหวงห้ามตามกฎหมาย บรรทุกรถยนต์เคลื่อนที่จากอำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา พามายังสามแยกท่าพระ แขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร โดยไม่มีใบเบิกทางของพนักงานเจ้าหน้าที่กำกับไปด้วยตามข้อกำหนดในกฎกระทรวง
ข. อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๙ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑๖ ลงวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๑๕ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ออกประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่องกำหนดปริมาณมีไว้ในครอบครองซึ่งของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ ลงวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๑๗ ว่าของป่าหวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกากำหนดของป่าหวงห้าม พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งบุคคลอาจมีไว้ในครอบครองในท้องที่ทุกจังหวัดโดยไม่ต้องขออนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ จะต้องไม่เกินปริมาณที่กำหนดไว้ในบัญชีท้ายประกาศ ซึ่งบัญชีท้ายประกาศ ข้อ ๑๐ ข. กำหนดถ่านไม้ทุกชนิดปริมาณในครอบครอง ๕ ลูกบาศก์เมตร และจำเลยทราบประกาศนี้แล้ว จำเลยได้บังอาจมีถ่านไม้จำนวน ๒๐๐ กระสอบ ปริมาตร ๒๕ ลูกบาศก์เมตร อันเป็นของป่าหวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกากำหนดของป่าหวงห้าม พ.ศ. ๒๕๐๕ บัญชีที่ ๑ อันดับที่ (๖) ข. ไว้ในความครอบครองเกินปริมาณที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประกาศกำหนด ทั้งนี้โดยจำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยถ่านไม้ ๒๐๐ กระสอบดังกล่าว เป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๔, ๒๙ ทวิ, ๓๙, ๗๑, ๗๒, ๗๔ พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๕ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑๖ ข้อ ๒, ๙, ๑๐ พระราชกฤษฎีกากำหนดของป่าหวงห้าม พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๔ ประกาศของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่องกำหนดปริมาณมีไว้ในครอบครอง ซึ่งของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ ลงวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๑๗ กฎกระทรวงฉบับที่ ๑๓ (พ.ศ. ๒๔๙๘) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ ว่าด้วยการนำไม้หรือของป่าเคลื่อนที่ และสั่งริบถ่านไม้ของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานนำถ่านไม้เคลื่อนที่โดยไม่มีใบเบิกทางกำกับตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๔, ๓๙, ๗๑ พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๕ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑๖ ข้อ ๙ พระราชกฤษฎีกากำหนดของป่าหวงห้าม พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๔ กฎกระทรวงฉบับที่ ๑๓ (พ.ศ. ๒๔๙๘) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ ว่าด้วยการนำไม้หรือของป่าเคลื่อนที่กระทงหนึ่ง ปรับ ๖๐๐ บาท และลงโทษฐานมีถ่านไม้ไว้ในความครอบครองเกินปริมาณที่รัฐมนตรีกำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๒๙ ทวิ, ๗๒ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑๖ ข้อ ๑๐ พระราชกฤษฎีกากำหนดของป่าหวงห้าม พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๔ ประกาศของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เรื่องกำหนดปริมาณมีไว้ซึ่งของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ ลงวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๑๗ อีกกระทงหนึ่ง ปรับ ๖๐๐ บาท จำเลยรับสารภาพ ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงรวมปรับ ๖๐๐ บาท ไม่ริบถ่านไม้ของกลาง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องความผิดฐานนำของป่าเคลื่อนที่โดยไม่มีใบเบิกทางของพนักงานเจ้าหน้าที่กำกับ ริบถ่านไม้ของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ข้อแรกโจทก์ฎีกาว่า ในชั้นอุทธรณ์มีประเด็นเรื่องจะริบของกลางหรือไม่เพียงประเด็นเดียว ศาลอุทธรณ์ไม่อาจหยิบยกประเด็นเรื่องนำของป่าหวงห้ามเคลื่อนที่โดยไม่มีใบเบิกทางกำกับซึ่งถึงที่สุดแล้วมาวินิจฉัยได้อีก
เห็นว่า แม้จะไม่มีอุทธรณ์ในประเด็นที่โจทก์กล่าวอ้าง ศาลอุทธรณ์ย่อมไม่มีอำนาจวินิจฉัยในทางที่เป็นประโยชน์แก่จำเลยได้ เพราะเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
ข้อต่อมาโจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ของกลางมาโดยการเก็บหา โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงขอใบเบิกทางไม่ได้ เป็นการไม่ชอบ ต้องรับฟังข้อเท็จจริงตามฟ้อง และคำรับสารภาพของจำเลยว่า จำเลยได้ถ่านไม้ของกลางมาโดยชอบ และนำเคลื่อนที่โดยไม่มีใบเบิกทางกำกับ จำเลยจึงมีความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
เห็นว่า ศาลอุทธรณ์กล่าวถึงข้อความตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๓๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๑๘ แล้ววินิจฉัยว่า จำเลยมีของป่าเกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ไม่เข้ากรณีใดกรณีหนึ่งตามที่ระบุไว้ในมาตรา ๓๘ จำเลยย่อมจะขอใบเบิกทางในการเคลื่อนย้ายถ่านไม้ของกลางไม่ได้อยู่เอง จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานนำของป่าเคลื่อนที่โดยไม่มีใบเบิกทางของพนักงานเจ้าหน้าที่กำกับ ข้อเท็จจริงตามฟ้องและคำสารภาพของจำเลยก็ไม่มีข้อความในฟ้องตอนใดที่ว่า จำเลยได้ถ่านไม้ของกลางมาโดยชอบ ทั้งฟ้องของโจทก์ข้อ ๑ ข. ยังบรรยายไว้ว่า จำเลยได้บังอาจมีถ่านไม้จำนวน ๒๐๐ กระสอบ ปริมาตร ๒๕ ลูกบาศก์เมตร อันเป็นของป่าหวงห้าม ฯลฯ ไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประกาศกำหนดไว้ ทั้งนี้โดยจำเลยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ อันแสดงว่าจำเลยมีถ่านไม้ของกลางไว้ในครอบครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย การที่จำเลยนำถ่านไม้ของกลางเคลื่อนที่จึงมิใช่เป็นกรณีตามมาตรา ๓๘ แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๑๘ อันจะพึงขอใบเบิกทางได้ตามมาตรา ๓๙ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการฝ่าฝืนมาตรา ๓๙
จำเลยฎีกาว่า ถ่านไม้ของกลางจำเลยได้รับอนุญาตให้ตัดฟันและเผาโดยชอบด้วยกฎหมาย การที่โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้ถ่านไม้ของกลางมาอย่างไร ต้องฟังว่าจำเลยได้ถ่านไม้มาโดยชอบ จะริบไม่ได้
เห็นว่าจำเลยรับสารภาพตามฟ้อง โดยมิได้อ้างว่าถ่านไม้ของกลางจำเลยได้รับอนุญาตให้ตัดฟันและเผาโดยชอบด้วยกฎหมาย ต้องฟังข้อเท็จจริงตามฟ้องดังที่กล่าวไว้ข้างต้น จำเลยจะฎีกาอ้างข้อเท็จจริงซึ่งไม่ปรากฏในสำนวนหาได้ไม่
พิพากษายืน

Share