แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยมีความผิดฐานใช้รถยนต์บรรทุกบรรทุกน้ำหนักเกินกำหนดจำเลยมีมารดา มีภรรยากำลังตั้งครรภ์ 7 เดือน ภรรยามีอาชีพรับจ้างได้เงินเดือนละ 500 บาท แสดงว่าจำเลยเป็นกำลังสำคัญในการหาเลี้ยงครอบครัว ประกอบกับจำเลยไม่เคยต้องรับโทษจำคุกมาก่อน พฤติการณ์แห่งคดีมีเหตุสมควรรอการลงโทษ.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2533 เวลา 18 นาฬิกาจำเลยใช้รถยนต์บรรทุกซึ่งกฎหมายกำหนดให้บรรทุกน้ำหนักได้ไม่เกิน 21,000 กิโลกรัม บรรทุกน้ำหนักเกินกำหนด ขอให้ลงโทษตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295 ข้อ 56, 83
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 ข้อ 56, 83 แม้จำเลยจะรับสารภาพก็ไม่ลดโทษให้ลงโทษจำคุก 2 เดือน และปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกรอการลงโทษไว้ 2 ปี คุมประพฤติจำเลย 1 ปี โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 1 เดือน ต่อครั้ง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานหนักทั้งจำคุกและปรับโดยไม่รอการลงโทษหรือปรับในอัตราชั้นสูง โดยพนักงานอัยการซึ่งอธิบดีกรมอัยการได้มอบหมายรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รอการลงโทษ ไม่ปรับและไม่คุมประพฤตินอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความตามรายงานสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติประจำศาลชั้นต้นว่า จำเลยมีมารดามีภรรยากำลังตั้งครรภ์ 7 เดือน ภรรยามีอาชีพรับจ้างได้เงินเดือนเดือนละ 500 บาท แสดงว่าจำเลยเป็นกำลังสำคัญในการหาเลี้ยงครอบครัว ประกอบกับจำเลยไม่เคยต้องรับโทษจำคุกมาก่อนพฤติการณ์แห่งคดีมีเหตุสมควรรอการลงโทษให้จำเลยและคุมความประพฤติจำเลยไว้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เพื่อให้จำเลยมีโอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดีต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไม่รอการลงโทษ และไม่คุมประพฤตินั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่าให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.