แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยถูกศาลพิพากษาให้ล้มละลาย ทางสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ปรากฏว่าในระหว่างระยะเวลาภายหลังจากถูกฟ้องจำเลยได้ชำระหนี้เงินกู้ให้ผู้คัดค้านเป็นเงิน 520,000 บาท จำเลยยังคงค้างผู้คัดค้านอยู่อีก 681,279.40 บาท ผู้คัดค้านได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ที่เหลือดังกล่าว โดยขอให้ขายทรัพย์ที่จำนองเป็นประกันและขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนเงินที่ขาดอยู่ ดังนี้ การที่จำเลยชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านภายหลังถูกฟ้อง มีผลทำให้ผู้คัดค้านได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่นของจำเลย เพราะหากผู้คัดค้านไม่ได้รับชำระหนี้จำนวน 520,000 บาทไปก่อน ผู้คัดค้านก็จะต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้เต็มจำนวนหนี้ โดยขอให้ขายทรัพย์ที่จำนองก่อนถ้าขายทรัพย์ที่จำนองได้เงินไม่ถึงจำนวนหนี้ทั้งหมด ผู้คัดค้านได้รับชำระหนี้จากเงินที่ขายทอดตลาดทรัพย์ที่จำนองนั้นก่อนส่วนหนี้ที่ยังขาดอยู่ผู้คัดค้านจะได้เพียงส่วนเฉลี่ยโดยเสมอภาคกับเจ้าหนี้อื่นของจำเลย ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วผู้คัดค้านอาจจะได้รับชำระหนี้ไม่เต็มจำนวนหนี้ แต่การที่ผู้คัดค้านได้รับชำระหนี้ไปก่อนแล้วนำเอาหนี้ส่วนที่ขาดมาขอรับชำระหนี้ ถ้าขายทอดตลาดทรัพย์ที่จำนองได้เงินไม่ถึงจำนวนหนี้ทั้งหมดที่เป็นหนี้อยู่ ผู้คัดค้านจะได้รับชำระหนี้จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ที่จำนอง ซึ่งเมื่อรวมกับจำนวนเงินที่ได้รับชำระไปก่อนผู้คัดค้านอาจจะได้รับชำระหนี้เต็มตามจำนวนหนี้ จึงเป็นการได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่นของจำเลย และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยมีเจ้าหนี้รวมเป็นจำนวนเงินถึง 12,378,335.11 บาท แต่มีทรัพย์สินเพียง 40,000 บาท แสดงว่าจำเลยมีทรัพย์สินไม่พอที่จะชำระหนี้ได้ทั้งหมด พฤติการณ์ที่จำเลยชำระเงินให้ผู้คัดค้านไปก่อน จึงเป็นการมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่นของจำเลย ผู้คัดค้านจะได้รับชำระหนี้จากจำเลยที่ 3 โดยสุจริตดังอ้างหรือไม่ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็เพิกถอนการชำระหนี้ดังกล่าวได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115.
ย่อยาว
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งเพิกถอนการชำระหนี้ครั้งที่ 1 ถึงครั้งที่ 13 รวมจำนวน 520,000 บาทที่จำเลยที่ 3 ได้ชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้าน ให้ผู้คัดค้านคืนเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยให้แก่กองทรัพย์สินของจำเลยที่ 3ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115
ผู้คัดค้าน ยื่นคำคัดค้านว่า กรณีไม่ต้องด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115 ขอให้ยกคำร้องของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้เพิกถอนการชำระหนี้ระหว่างจำเลยที่ 3 และผู้คัดค้าน ให้ผู้คัดค้านคืนเงินจำนวน 520,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยให้แก่กองทรัพย์สินของจำเลยที่ 3
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่จะวินิจฉัยว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ร้องจะร้องขอให้เพิกถอนการชำระหนี้ระหว่างจำเลยที่ 3 กับผู้คัดค้านตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115ได้หรือไม่ ปัญหานี้เห็นสมควรแยกวินิจฉัยในประการแรกคือ การที่จำเลยที่ 3 ชำระหนี้ให้ผู้คัดค้าน 13 ครั้ง รวมจำนวนเงิน 520,000 บาทดังกล่าวข้างต้น ทำให้ผู้คัดค้านได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่นของจำเลยที่ 3 หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ผู้คัดค้านได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 96(3)โดยขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่ 3ที่จำนองเป็นหลักประกัน และขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนเงินที่ยังขาดอยู่ ถ้าผู้คัดค้านไม่ได้รับชำระหนี้จำนวนเงิน 520,000 บาทจากจำเลยที่ 3 ไปก่อน แม้ผู้คัดค้านจะยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้เต็มจำนวนหนี้ที่จำเลยที่ 3 เป็นหนี้ผู้คัดค้าน ถ้าขายทรัพย์ที่จำนองได้เงินไม่ถึงจำนวนหนี้ทั้งหมดที่จำเลยที่ 3 เป็นหนี้ผู้คัดค้านเมื่อผู้คัดค้านได้รับชำระหนี้จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ที่จำนองแล้วหนี้ส่วนที่เหลือ ผู้คัดค้านจะได้รับชำระหนี้เพียงส่วนเฉลี่ยโดยเสมอภาคกับเจ้าหนี้อื่นของจำเลยที่ 3 รวมกันแล้วผู้คัดค้านจะได้รับชำระหนี้ไม่เต็มจำนวนหนี้ที่จำเลยที่ 3เป็นหนี้ผู้คัดค้าน แต่การที่ผู้คัดค้านได้รับชำระหนี้จากจำเลยที่ 3 ไปก่อนเป็นจำนวน 520,000 บาท แล้วนำเอาหนี้ส่วนที่เหลือจำนวน 681,279.40 บาท มาขอรับชำระหนี้ ถ้าขายทอดตลาดทรัพย์ที่จำนองได้เงินไม่ถึงจำนวนหนี้ทั้งหมดที่จำเลยที่ 3 เป็นหนี้ผู้คัดค้าน เช่นขายได้เป็นจำนวนเงินเท่ากับหรือมากกว่าจำนวนหนี้ที่ผู้คัดค้านมาขอรับชำระหนี้ไปบ้าง ผู้คัดค้านจะได้รับชำระหนี้จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองเท่าจำนวนเงินที่ขอรับชำระหนี้ ซึ่งเมื่อนำไปรวมกับจำนวนเงินที่ได้รับชำระจากจำเลยที่ 3 ไปก่อนแล้วเป็นจำนวนเงิน 520,000 บาท ผู้คัดค้านจะได้รับชำระหนี้เต็มตามจำนวนที่จำเลยที่ 3 เป็นหนี้ผู้คัดค้านซึ่งมากกว่ากรณีที่ไม่ได้รับชำระหนี้เป็นจำนวนเงิน 520,000 บาทไปจากจำเลยที่ 3 ก่อน จึงเห็นได้ว่าการที่จำเลยที่ 3 ชำระหนี้ให้ผู้คัดค้านไปก่อน 13 ครั้ง รวมเป็นจำนวนเงิน 520,000 บาทดังกล่าวแล้ว มีผลทำให้ผู้คัดค้านได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่นของจำเลยที่ 3 อนึ่งที่ผู้คัดค้านฎีกาว่าทรัพย์ที่จำนองมีราคาเกินกว่าหนี้ทั้งหมดที่จำเลยที่ 3 เป็นหนี้ผู้คัดค้านการที่จำเลยที่ 3 ชำระหนี้ให้ผู้คัดค้านเป็นจำนวนเงิน 520,000 บาท จึงไม่ทำให้เจ้าหนี้อื่นเสียเปรียบนั้น เห็นว่าเป็นแต่เพียงการคาดคะเนของผู้คัดค้านว่าทรัพย์ที่จำนองมีราคาเพียงใด ไม่มีน้ำหนักให้ฟังได้ว่าทรัพย์ที่จำนองมีราคาถึงจำนวนเงินที่ผู้คัดค้านกล่าวอ้างในฎีกาดังกล่าว คงมีปัญหาที่จะวินิจฉัยต่อไปเพียงว่าการที่จำเลยที่ 3ชำระหนี้ให้ผู้คัดค้าน 13 ครั้ง รวมจำนวนเงิน 520,000 บาทเป็นการชำระหนี้โดยมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่นหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งห้าเด็ดขาด มีเจ้าหนี้ที่ศาลอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้แล้ว 6 ราย รวมเป็นจำนวนถึง 12,378,335.11 บาท แต่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รวบรวมทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 ได้เพียงประมาณ40,000 บาท แสดงว่าจำเลยที่ 3 มีทรัพย์สินไม่พอที่จะชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ของจำเลยที่ 3 ได้ทั้งหมด การที่จำเลยที่ 3 ชำระหนี้ให้ผู้คัดค้านรวมจำนวนเงิน 520,000 บาท ดังกล่าว เป็นพฤติการณ์ที่เชื่อได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้ชำระหนี้ให้ผู้คัดค้าน โดยมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่นของจำเลยที่ 3 และด้วยเหตุดังวินิจฉัยแล้ว จึงเห็นได้ว่า ผู้คัดค้านจะได้รับชำระหนี้จากจำเลยที่ 3 โดยสุจริตดังที่ผู้คัดค้านกล่าวอ้างในฎีกาหรือไม่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ผู้ร้องก็ร้องขอให้เพิกถอนการชำระหนี้ดังกล่าวได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115ฎีกาของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.