คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 313/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า การที่จำเลยทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งห้าทำให้โจทก์ทั้งห้าได้รับความเสียหายคือค่าขาดไร้อุปการะตามกฎหมายโจทก์ที่ 1 ขอค่าขาดไร้อุปการะ 150,000 บาท โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5ขอค่าขาดไร้อุปการะคนละ 50,000 บาท และนอกจากนี้โจทก์ต้องเสียค่าจัดการศพและค่าปลงศพเป็นเงิน 40,000 บาท คำฟ้องโจทก์ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ รวมทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ส่วนการคิดค่าขาดไร้อุปการะตั้งแต่เมื่อใด และสิ้นสุดลงเมื่อใด และจัดการศพอยู่กี่วัน วันละเท่าใดนั้น โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้เพราะเป็นเพียงรายละเอียด ดังนี้ฟ้องเกี่ยวกับค่าเสียหายไม่เคลือบคลุม ป.พ.พ. มาตรา 1461 บัญญัติว่า สามีภริยาต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันตามความสามารถและฐานะของตน ดังนั้นผู้ตายในฐานะภริยาโจทก์ย่อมมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูโจทก์ ข้ออ้างของจำเลยที่ว่าผู้ตายเป็นผู้ชวนจำเลยขับขี่รถยนต์ไปกับโจทก์ที่ 4 และที่ 5 นับว่ามีส่วนร่วมเสี่ยงภัยอยู่ด้วยและต้องเฉลี่ยความรับผิดนั้น ข้ออ้างดังกล่าวไม่มีกฎหมายรับรองเมื่อไม่ได้ความว่าผู้ตายมีส่วนประมาทอยู่ด้วยก็ไม่มีเหตุที่จะให้ผู้ตายเฉลี่ยความรับผิดชอบค่าเสียหายกับจำเลย.

ย่อยาว

โจทก์ทั้งห้าฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางเจริญใจ บุญคุ้ม มีบุตรด้วยกัน 3 คน คือโจทก์ที่ 3 ถึงโจทก์ที่ 5 ส่วนโจทก์ที่ 2 เป็นบุตรบุญธรรมของโจทก์ที่ 1 กับนางเจริญใจเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2529 จำเลยได้ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียนก-4067 ขอนแก่น ไปตามถนนสายๆผ่-รัตนบุรี ซึ่งเป็นถนนลูกรังขรุขระด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังโดยขับด้วยความเร็วสูงและไม่สามารถบังคับรถให้แล่นอยู่บนถนนดังกล่าวด้วยความปลอดภัยจนทำให้ยางรถยนต์เกิดระเบิดขึ้น และพลิกคว่ำลงข้างถนน เป็นเหตุให้นางเจริญใจซึ่งนั่งโดยสารมาในรถด้วยถึงแก่ความตาย โจทก์ที่ 4และที่ 5 ซึ่งนั่งโดยสารมาในรถเช่นกันได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กาการกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ทั้งห้าได้รับความเสียหาย โดยต้องขาดไร้อุปการะจากนางเจริญได้ โจทก์ที่ 1 ขอคิดว่าขาดไร้อุปการะเป็นเงิน 150,000 บาท โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ขอคิดค่าขาดไร้อุปการะคนละ 50,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 350,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการทำบุญศพนางเจริญใจเป็นเงิน 40,000 บาท และค่ารักษาพยาบาลโจทก์ที่ 4 และที่ 5 เป็นเงินรวม 10,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยให้ใช้เงินจำนวน 400,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายให้แจ้งชัดว่าค่าขาดไร้อุปการะมีหลักเกณฑ์วิธีในการคำนวณอย่างไร และค่าใช้จ่ายในการปลงศพได้ทำบุญกี่วัน ค่าใช้จ่ายวันละเท่าใดเป็นฟ้องที่เคลือบคลุม เหตุที่รถพลิกคว่ำเนื่องจากยางล้อด้านหน้าระเบิดขึ้นเพราะถูกวัตถุมีคมบนพื้นถนนซึ่งเป็นเหตุสุดวิสัย นางเจริญใจมีส่วนต้องรับผิดในค่าเสียหายที่เกิดขึ้นด้วยเนื่องจากเป็นผู้ริเริ่มชักชวนวานให้จำเลยขับรถตลอดจนเป็นผู้ครอบครองรถยนต์คันเกิดเหตุ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นแก่โจทก์ทั้งห้ารวมเป็นเงิน 40,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย ให้จำเลยใช้ค่าขาดไร้อุปการะและค่ารักษาพยาบาลแก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน20,000 บาท โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 20,000 บาท โจทก์ที่ 3 เป็นเงิน40,000 บาท โจทก์ที่ 4 เป็นเงิน 41,000 บาท และโจทก์ที่ 5 เป็นเงิน44,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหาจะต้องวินิจฉัยข้อแรกมีว่า ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายเคลือบคลุมหรือไม่ โจทก์ฟ้องว่าจากการที่จำเลยทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งห้า ทำให้โจทก์ทั้งห้าได้รับความเสียหายคือค่าขาดไร้อุปการะตามกฎหมายโจทก์ที่ 1 ขอค่าขาดไร้อุปการะ 150,000 บาท โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ขอค่าขาดไร้อุปการะคนละ 50,000 บาท และนอกจากนี้โจทก์ต้องเสียค่าจัดการศพ และค่าปลงศพเป็นเงิน 40,000 บาท โดยไม่มีรายละเอียดว่าเริ่มคิดตั้งแต่เมื่อใด และจัดการศพกี่วัน เสียค่าใช้จ่ายไปวันละเท่าใด เห็นว่า การคิดค่าขาดไร้อุปการะตั้งแต่เมื่อใด และสิ้นสุดลงเมื่อใดและจัดการศพอยู่กี่วัน วันละเท่าใดนั้น โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้เพราะเป็นรายละเอียดคำฟ้องโจทก์ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับรวมทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ปัญหาจะต้องวินิจฉัยข้อต่อมาที่ว่า ค่าเสียหายที่โจทก์ขาดไร้อุปการะมีจำนวนเท่าใดนั้น จำเลยฎีกาโต้เถียงว่าควรเฉลี่ยค่าอุปการะกับโจทก์ที่ 1 ที่มีรายได้เป็นรายเดือนด้วยนั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1461 บัญญัติว่า สามีภริยาต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันตามความสามารถและฐานะของตนดังนั้นผู้ตายในฐานะภริยาย่อมมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูโจทก์ โจทก์ที่ 1อายุ 52 ปีผู้ตายมีรายได้จากการค้าขายและยื่นรายการเสียภาษีตามคำเบิกความของนายทรงวุฒิ มณีนิล สมุห์บัญชีอำเภอรัตนบุรีว่า ในปีพ.ศ. 2509 ผู้ตายยื่นรายการเสียภาษี 60,000 บาท ตามเอกสารหมายล.3 แสดงว่าผู้ตายมีรายได้เป็นเดือน เดือนละ 5,000 บาท จะต้องช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในครอบครัว และอาจมีเงินเหลือบ้าง หากผู้ตายยังมีชีวิตอยู่ก็มีโอกาสอุปการะสามีและบุตรได้อีกนานเพราะผู้ตายอายุเพียง 42 ปี การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้ให้แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 คนละ 20,000 บาท นั้นนับว่าน้อยมากและเป็นผลดีแก่จำเลยอยู่แล้ว สำหรับโจทก์ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 นั้นปรากฏว่าอายุยังน้อยโดยเฉพาะโจทก์ที่ 5 อายุเพียง 2 ปี จะต้องอุปการะจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะเป้นเวลาเกือบ 20 ปี การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายให้คนละ 40,000 บาท ก็นับว่าเป็นคุณแก่จำเลยมากเช่นกัน… ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายและค่าปลงศพที่โจทก์ขอมา 40,000 บาท นั้น ได้ความว่าโจทก์ทำศพเพียง 2 วัน และในการเก็บศพเพื่อจะทำการฌาปนกิจในอนาคตก้ไม่แน่ว่าจะเสียค่าใช้จ่ายมากดังที่โจทก์อ้าง เมื่อคำนึงถึงสภาพท้องถิ่นประกอบกับฐานะทางสังคมของโจทก์ที่ 1 ซึ่งรับราชการเป็นครูแล้วเห็นว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไป จึงเห็นสมควรกำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้ให้โจทก์ทั้งห้าจำนวน 30,000 บาท ส่วนค่ารักษาพยาบาลของโจทก์ที่ 4 และที่ 5นั้น ปรากฏว่าโจทก์ที่ 4 ได้รับบาดเจ็บช้ำบวมบริเวณแขน และโจทก์ที่ 5 มีบาดแผลแตกที่ศีรษะศาลล่างทั้งสองกำหนดให้ 1,000 บาท และ4,000 บาท ตามลำดับนั้นเหมาะสมแล้ว… ที่จำเลยฎีกาเป็นข้อสุดท้ายว่า ผู้ตายชวนจำเลยขับขี่รถยนต์ไปกับโจทก์ที่ 4 และที่ 5 นับว่ามีส่วนร่วมเสี่ยงภัยอยู่ด้วยและต้องเฉลี่ยความรับผิดนั้น เห็นว่าข้ออ้างของจำเลยไม่มีบทกฎหมายรับรอง เมื่อไม่ได้ความว่าผู้ตายมีส่วนประมาทอยู่ด้วยก็ไม่มีเหตุที่จะให้ผู้ตายเฉลี่ยความรับผิดชอบในเรื่องค่าเสียหายกับจำเลยด้วย…”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นแก่โจทก์ทั้งห้า จำนวน 30,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป้นตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share