แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามคำฟ้องเดิมโจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันบุกรุกเข้าไปปลูกบ้านในที่พิพาท ขอให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกจากที่พิพาท ส่วนตามคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องโจทก์ขอเพิ่มเติมคำฟ้องว่า ทั้ง บ. และโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่พิพาทโดยฝากให้จำเลยที่ 1 ดูแลที่พิพาท มิได้อนุญาตให้จำเลยที่ 1เข้าไปอยู่ในที่พิพาท เป็นการเพิ่มเติมฟ้องเดิมให้บริบูรณ์มิใช่เป็นการตั้งข้อหาใหม่หรือเปลี่ยนแปลงข้อหาในคำฟ้องเดิมแต่อย่างใด ส่วนที่โจทก์ขอให้พิพากษาทำลายโฉนดที่ดินส่วนที่ออกทับที่พิพาทนั้น มีความหมายว่าโฉนดที่ดินของจำเลยที่ 1 ส่วนที่ทับที่พิพาทออกมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะที่พิพาทเป็นของโจทก์ซึ่งเป็นข้อหาตามคำฟ้องเดิมอยู่แล้ว แม้โจทก์จะไม่มีคำขอดังกล่าวมาท้ายฟ้อง หากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโฉนดที่ดินออกทับที่ดินโจทก์ซึ่งเป็นที่พิพาทศาลก็มีอำนาจสั่งเพิกถอนได้ ดังนั้นการขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องของโจทก์ จึงเป็นการเพิ่มเติมข้อเท็จจริงในฟ้องเดิมให้บริบูรณ์และเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกัน โจทก์มีสิทธิยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า ข้อ 1 โจทก์เป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 334/28 หมู่ที่1 ตำบลนาพรุ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราชเนื้อที่ 58 ตารางวา โดยซื้อจากนางบุญยิ่ง ข้อ 2 เมื่อระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-ตุลาคม 2535 จำเลยทั้งสองร่วมกันบุกรุกเข้าปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินของโจทก์เพื่อแย่งการครอบครองเป็นเนื้อที่ประมาณ 34 ตารางวา โจทก์แจ้งให้รื้อถอนและออกจากที่พิพาทแล้วแต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกจากที่พิพาท
จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 48537 ที่จำเลยที่ 1 ได้รับยกให้มาจากบิดา และได้ขอออกโฉนดที่ดินเมื่อปี 2527 ซึ่งนางสาวบุญยิ่งพี่สาวโจทก์ในฐานะเจ้าของที่ดินข้างเคียงก็ได้ลงชื่อรับรองแนวเขต จำเลยที่ 2 ปลูกบ้านในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1 โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้หลังจากจำเลยที่ 2 ปลูกบ้านในที่พิพาทเกินกว่าหนึ่งปี จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้อง
ก่อนชี้สองสถาน โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้อง โดยขอเพิ่มเติมคำฟ้องข้อ 3 ขึ้นอีกข้อหนึ่งว่า ที่ดินของโจทก์ดังกล่าวในข้อ 1เดิมเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงใหญ่ของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 28สิงหาคม 2527 จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนแบ่งแยกแล้วโอนยกให้นางสาวบุญยิ่ง ต่อมาวันที่ 23 เมษายน 2533 นางสาวบุญยิ่งได้จดทะเบียนโอนขายที่พิพาทให้โจทก์ ทั้งนางสาวบุญยิ่งและโจทก์ได้ฝากให้จำเลยที่ 1 ดูแลที่พิพาทแทนเนื่องจากนางสาวบุญยิ่งและโจทก์ไปประกอบอาชีพต่างท้องที่ โจทก์เพิ่งทราบว่าจำเลยที่ 1ออกโฉนดที่ดินทับที่พิพาท โดยจำเลยที่ 1 หลอกลวงนางสาวบุญยิ่งให้ลงชื่อรับรองแนวเขตที่ดินว่าไม่ได้ออกโฉนดที่ดินทับที่ดินของนางสาวบุญยิ่ง โจทก์รับโอนที่พิพาทมาโดยไม่รู้ว่าจำเลยที่ 1ออกโฉนดที่ดินทับที่พิพาท เพราะขณะนั้นจำเลยทั้งสองยังไม่ได้ปลูกสิ่งใดลงในที่พิพาท ที่พิพาทไม่ใช่ของจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ขอให้พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ห้ามจำเลยทั้งสองเกี่ยวข้องอีกต่อไป และขอให้ศาลพิพากษาทำลายโฉนดที่ดินส่วนนี้ด้วย
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องคัดค้านว่า การขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์เป็นการตั้งข้อหาใหม่เปลี่ยนแปลงข้อหาเดิม ไม่ชอบด้วยกฎหมายขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 179(1)(2) โจทก์อาจขอแก้ไขคำฟ้องของตนได้ โดยเพิ่มหรือลดจำนวนทุนทรัพย์หรือราคาทรัพย์สินที่พิพาทในฟ้องเดิม หรือสละข้อหาในฟ้องเดิมเสียบางข้อ หรือเพิ่มเติมฟ้องเดิมให้บริบูรณ์โดยวิธีเสนอคำฟ้องเพิ่มเติม ฯลฯ ตามคำฟ้องเดิมของโจทก์ในคดีนี้โจทก์ขอให้พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ขอให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกจากที่พิพาทโดยอ้างว่าจำเลยทั้งสองละเมิดสิทธิครอบครองที่ดินที่โจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองด้วยการร่วมกันบุกรุกเข้าไปปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่พิพาท ส่วนตามคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องเดิมของโจทก์นั้น โจทก์ขอเพิ่มเติมคำฟ้องอีกข้อหนึ่งเป็นข้อ 3 ซึ่งมีใจความว่าทั้งนางสาวบุญยิ่งและโจทก์ได้ฝากให้จำเลยที่ 1 ดูแลที่ดินดังกล่าวด้วย เห็นได้ว่าข้อที่โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องเป็นการขยายความถึงความเป็นมาของที่พิพาทว่านางสาวบุญยิ่งและโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่พิพาทโดยฝากให้จำเลยที่ 1 ช่วยดูแลที่พิพาทให้ มิได้อนุญาตให้จำเลยที่ 1 เข้าไปอยู่ในที่พิพาทจึงเป็นการเพิ่มเติมฟ้องเดิมให้บริบูรณ์ มิใช่เป็นการตั้งข้อหาใหม่เปลี่ยนแปลงข้อหาในคำฟ้องเดิมแต่อย่างใด ส่วนที่โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องโดยเพิ่มเติมว่าจำเลยที่ 1 ได้ออกโฉนดที่ดินทับที่พิพาทขอให้พิพากษาทำลายโฉนดที่ดินส่วนนี้ด้วย คำร้องขอแก้ไขคำฟ้องนี้มีความหมายว่าโฉนดที่ดินของจำเลยที่ 1 ส่วนที่ทับที่พิพาทออกมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะที่พิพาทเป็นของโจทก์ ซึ่งเป็นข้อหาตามคำฟ้องเดิมอยู่แล้ว ในส่วนที่โจทก์ขอให้พิพากษาทำลายโฉนดที่ดินที่ออกมาทับที่พิพาทแม้โจทก์จะไม่มีคำขอมาท้ายฟ้องหากข้อเท็จจริงฟังได้ดังที่โจทก์อ้างว่าโฉนดที่ดินที่ออกมานั้นทับที่ดินโจทก์ซึ่งเป็นที่พิพาทก็เป็นการออกโฉนดที่ดินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและในเรื่องโฉนดที่พิพาทที่ออกมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายแม้โจทก์ไม่มีคำขอศาลก็มีอำนาจสั่งเพิกถอนได้ เทียบตามนับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2046/2524 ระหว่างนายวิโรจน์ รัศมี โจทก์ นายเสรีวงศ์วิไลหรือวงษ์วิไลวารินทร์ จำเลย ดังนั้น การขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์จึงมิใช่เป็นการตั้งข้อหาใหม่หรือเปลี่ยนแปลงข้อหาในคำฟ้องเดิมดังที่จำเลยอ้าง แต่กรณีเป็นเรื่องเพิ่มเติมข้อเท็จจริงในฟ้องเดิมให้บริบูรณ์และเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179 ไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบโจทก์มีสิทธิยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องตามคำร้องได้
พิพากษากลับว่า อนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องและให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป