แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ผลแห่งการกระทำละเมิด ทำให้สังกะสีที่โจทก์บรรทุกรถมาแตกเสียหายและสูญหาย โดยบรรยายขนาดของสังกะสีแต่ละขนาดและจำนวนแผ่นของสังกะสีขนาดนั้น ๆ ที่เสียหายและสูญหาย รวมทั้งราคาของสังกะสีดังกล่าว และราคาของทรัพย์สินอื่นที่ได้รับความเสียหายดังนี้เป็นฟ้องที่แจ้งชัดแล้ว โจทก์ไม่จำต้องแสดงหลักฐานการแจ้งความแก่ตำรวจหรือแนบสำเนารายการทรัพย์สินที่เสียหายมาท้ายฟ้องฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับจ้างบรรทุกสินค้าย่อมจะต้องมีความรับผิดต่อผู้ว่าจ้างบรรทุกสินค้า จึงย่อมมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 2 ผู้เป็นเจ้าของรถคันเกิดเหตุให้รับผิดในผลละเมิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ลูกจ้างผู้ขับรถ สำหรับความเสียหายของสินค้าที่รับจ้างมาอยู่แล้ว ข้อเท็จจริงที่ว่าสินค้าจะเป็นของ ต. ตามที่โจทก์อ้างหรือไม่จึงไม่เป็นประโยชน์แก่จำเลยที่ 2
ปัญหาที่ว่ารถโจทก์บรรทุกสังกะสีมาเป็นจำนวนเท่าใดและเหตุที่เกิดขึ้นทำให้สังกะสีต้องบุบสลายเสียหายไปเป็นจำนวนตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่จำเลยที่ 2 ไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นแม้ปัญหาดังกล่าวศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยมาก็ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
ทรัพย์สินของโจทก์ต้องบุบสลาย เสียหายและสูญหายเพราะเกิดจากผลแห่งการละเมิดของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดในฐานะนายจ้างด้วยโดยตรง แม้คนของโจทก์หรือคนของจำเลยที่ 2 ต่างก็ไม่สามารถคุ้มครองทรัพย์สินเหล่านั้นได้ความเสียหายของโจทก์ในส่วนนี้จึงเป็นผลโดยตรงจากการละเมิดไม่ใช่เหตุสุดวิสัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 2 มาตามทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ล้ำกึ่งกลางถนนเข้าไปในทางรถยนต์ของโจทก์ แล้วพุ่งเข้าเฉี่ยวชนรถยนต์บรรทุกของโจทก์ ทำให้รถยนต์บรรทุกทั้งสองคันตกลงไปทางด้านซ้ายของถนน สินค้าที่บรรทุกมาในรถยนต์บรรทุกของโจทก์แตกกระจายเสียหาย และสูญหายไป คือสังกะสีลอนใหญ่ขนาด 5 ฟุต จำนวน 40 แผ่น ราคา1,260 บาท สังกะสีลอนใหญ่ขนาด 6 ฟุต จำนวน 2,480 แผ่น ราคา 93,744 บาท สังกะสีลอนใหญ่ ขนาด 7 ฟุต จำนวน 1,650 แผ่น ราคา 72,765 บาท สังกะสีลอนใหญ่ขนาด 10 ฟุตจำนวน 70 แผ่นราคา 4,410 บาท ผ้าใบคลุมรถยนต์ 1 ผืน ราคา 5,000 บาท วิทยุเทปติดรถแม่แรงยกรถและทรัพย์สินอื่น ๆ เป็นเงิน 8,000 บาท รวมทรัพย์สินที่หายทั้งสิ้น 189,689 บาท และเรียกค่าเสียหาย ที่ทำให้รถยนต์บรรทุกของโจทก์ไม่สามารถใช้งานบรรทุกสินค้าได้เป็นเงิน 50,000 บาท ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายดังกล่าว พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันทำละเมิดเป็นต้นไป
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 2 ไปชนรถยนต์บรรทุกของโจทก์จริง แต่โจทก์ได้รับชดใช้ค่าเสียหายจากบริษัทสินมั่นคงประกันภัยแล้ว ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะบรรยายฟ้องอ้างจำนวนทรัพย์สินที่เสียหายมาลอย ๆไม่มีเอกสารมาแสดง ไม่บรรยายฟ้องว่าทรัพย์สินเสียหายอย่างใดเพราะเหตุใด หากโจทก์เสียหายจริง จำเลยที่ 2 ก็ไม่ต้องรับผิดเพราะหลังจากเกิดเหตุแล้ว ชาวบ้านมาปล้นเอาทรัพย์สินของโจทก์ไปถือได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย และเจ้าหน้าที่ตำรวจยึดสังกะสีคืนจากคนร้ายได้ 152 แผ่น ค่าเสียหายที่โจทก์ไม่สามารถนำรถยนต์บรรทุกไปใช้งานได้เป็นเงินเพียง 4,000 บาท และโจทก์จำเลยได้ตกลงกันแล้วว่าไม่ติดใจเรียกค่าเสียหายส่วนนี้ต่อกัน ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินจำนวน202,487.32 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี ในต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันทำละเมิด จนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระหนี้เสร็จ และให้จำเลยทั้งสองเสียค่าฤชาธรรมเนียม โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาทแทนโจทก์
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์1,500 บาท
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ได้บรรยายไว้แจ้งชัดแล้วว่าสังกะสีที่โจทก์บรรทุกรถมาแตกเสียหายและสูญหาย โดยได้บรรยายขนาดของสังกะสีแต่ละขนาด และจำนวนแผ่นของสังกะสีขนาดนั้น ๆ ที่เสียหายและสูญหายรวมทั้งราคาของสังกะสีดังกล่าวด้วยและรวมทั้งราคาของผ้าใบคลุมรถ และวิทยุเทปติดรถ แม่แรงยกรถกับทรัพย์สินอื่น ๆโจทก์ไม่จำต้องแสดงหลักฐานการแจ้งความแก่ตำรวจมาในฟ้องรวมทั้งไม่จำต้องแนบสำเนารายการทรัพย์สินที่เสียหายมาท้ายฟ้อง ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม จำเลยที่ 2ฎีกาต่อมาว่าเชื่อไม่ได้ว่านายแตน ศรีมนัส พยานโจทก์เป็นเจ้าของสังกะสีเห็นว่านายแตนเป็นเจ้าของสังกะสีหรือไม่ก็ตาม โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับจ้างบรรทุกสินค้าดังกล่ว ย่อมจะต้องมีความรับผิดต่อผู้ว่าจ้างบรรทุก จึงย่อมมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 2 ผู้เป็นเจ้าของรถคันเกิดเหตุให้รับผิดในผลละเมิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ผู้ขับรถอยู่แล้ว ฎีกาจำเลยที่ 2ในข้อนี้จึงไม่เป็นประโยชน์แก่จำเลยที่ 2
ปัญหาที่ว่ารถโจทก์บรรทุกสังกะสีมาเป็นจำนวนเท่าใดและเหตุที่เกิดขึ้นทำให้สังกะสีต้องบุบสลาย เสียหายไปเป็นจำนวนตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่จำเลยที่ 2 ไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นแม้ปัญหาดังกล่าวศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยมา ก็ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
จำเลยที่ 2 ฎีกาต่อมาว่า หลังจากเกิดเหตุได้มีชาวบ้านจำนวนมากออกมายื้อแย่งเอาทรัพย์สินและสังกะสีไป สุดความสามารถที่คนขับรถและคนท้ายรถของโจทก์และจำเลยที่ 2 จะห้ามปรามได้ จึงถือว่าเป็นเหตุสุดวิสัยเห็นว่าความเสียหายของโจทก์ในส่วนนี้เนื่อมาจากทรัพย์สินของโจทก์ต้องบุบสลายเสียหายและสูญหายเพราะเกิดจากผลบแห่งการละเมิดของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดในฐานะนายจ้างด้วยโดยตรง แม้คนของโจทก์หรือคนของจำเลยที่ 2 ต่างก็ไม่สามารถคุ้มครองทรัพย์สินนั้นได้ ความเสียหายของโจทก์ในส่วนนี้จึงเป็นผลโดยตรงจากการละเมิด ไม่ใช่เหตุสุดวิสัย ฯลฯ
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 1,500 บาทแทนโจทก์