แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าซื้อบ้านพร้อมที่ดินพิพาทของ ป. จำเลยเช่าบ้านพิพาทจากภริยาป. ครบกำหนดตามสัญญาเช่าแล้ว โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่อีกต่อไปขอให้บังคับจำเลยออกจากบ้านพิพาทและชำระค่าเช่าที่ค้างกับค่าเสียหาย การที่จำเลยฟ้องแย้งว่า ป.ให้คำมั่นว่าจะขายบ้านและที่ดินพิพาทให้จำเลย ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนระหว่างโจทก์กับ ป. และให้ ป. จดทะเบียนโอนขายให้จำเลยนั้นฟ้องแย้งดังกล่าวเป็นคนละเรื่องคนละประเด็นและไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ทั้งเป็นการขอให้บังคับบุคคลอื่นที่ไม่ได้เข้ามาเป็นคู่ความด้วย จึงไม่ชอบที่จะรับฟ้องแย้งของจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ซื้อบ้านเลขที่ 165/1 ถนนมะลิวัลย์ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น พร้อมด้วยที่ดินโฉนดเลขที่ 61544 ของนายประสิทธิ์ บุญรอด เพื่อทำการค้าขายจำเลยทำสัญญาเช่าบ้านดังกล่าวกับภริยาของนายประสิทธิ์ครบกำหนดสัญญาเช่าแล้ว โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยอยู่ในบ้านดังกล่าวต่อไป ได้บอกกล่าวให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากบ้านของโจทก์แต่จำเลยเพิกเฉย จำเลยไม่ได้ชำระค่าเช่าบ้านแก่โจทก์ 2 เดือน ๆ ละ 3,000 บาท เป็นเงิน 6,000 บาท และการที่จำเลยไม่ยอมออกจากบ้านเช่าทำให้โจทก์ต้องเช่าบ้านจากบุคคลอื่นเสียค่าเช่าเดือนละ 2,000 บาทเป็นเวลา 2 เดือน เป็นเงิน 4,000 บาทและโจทก์ต้องเสียดอกเบี้ยให้กับธนาคารเดือนละ 8,000 บาทเนื่องจากการที่โจทก์ซื้อบ้านและที่ดินแล้วแต่เข้าไปทำการค้าขายไม่ได้เป็นเวลา 2 เดือน เป็นเงิน 16,000 บาท รวมค่าเสียหายทั้งสิ้น 26,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยพร้อมด้วยบริวารออกไปจากบ้านเลขที่ 165/1 ดังกล่าว ให้จำเลยชดใช้ค่าเช่ากับค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน 26,000 บาท และค่าเช่ากับค่าเสียหายนับแต่วันฟ้องอีกเดือนละ 13,000 บาท จนกว่าจำเลยจะออกจากบ้านเช่าของโจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า บ้านและที่ดินพิพาทตามฟ้องนั้นปกติเช่ากันในอัตราเดือน 2,000 บาท การที่โจทก์เรียกเงินค่าเสียหายมานั้นไม่เป็นความจริงเพราะโจทก์อยู่ในบ้านตามฟ้องอย่างเป็นเจ้าของมาเป็นเวลานานแล้วและการที่โจทก์จะไปเช่าบ้านบุคคลอื่นในอัตราค่าเช่าเดือนละ 2,000 บาท และต้องเสียเงินค่าดอกเบี้ยให้กับธนาคารเดือนละ 8,000 บาท ก็ไม่เกี่ยวกับที่โจทก์อยู่ในที่ดินและบ้านพิพาทแต่ประการใด บ้านพร้อมที่ดินพิพาทนายประสิทธิ์ บุญรอดได้ให้คำมั่นว่าจะขายให้จำเลย จำเลยได้วางมัดจำไว้แล้วตกลงชำระส่วนที่เหลือพร้อมโอนทะเบียนแต่กลับนำไปขายให้โจทก์ ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนขายบ้านพร้อมที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับนายประสิทธิ์บุญรอด และให้บังคับนายประสิทธิ์โอนบ้านพร้อมที่ดินพิพาทให้จำเลยพร้อมกับรับชำระเงินส่วนที่เหลือ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การของจำเลย ส่วนฟ้องแย้งนั้นเห็นว่า ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมให้ยกฟ้องแย้ง
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย แล้วพิพากษาให้จำเลยพร้อมด้วยบริวารออกไปจากบ้านเลขที่ 165/1 ถนนมะลิวัลย์ ตำบลในเมืองอำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่นห้ามจำเลยกับบริวารเกี่ยวข้องบ้านดังกล่าวต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ในอัตราเดือนละ2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะออกจากบ้านดังกล่าวของโจทก์
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง และคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ส่วนฟ้องแย้งนั้นศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รับฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่และเรียกค่าเช่ากับค่าเสียหายจากจำเลย โดยอ้างว่าโจทก์ได้ซื้อบ้านพร้อมที่ดินพิพาทของนายประสิทธิ์ บุญรอดจำเลยได้เช่าบ้านพิพาทจากภริยานายประสิทธิ์ครบกำหนดตามสัญญาเช่าแล้วโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่อีกต่อไปที่จำเลยฟ้องแย้งว่านายประสิทธิ์ให้คำมั่นว่าจะขายบ้านและที่ดินพิพาทให้จำเลย โดยได้ตกลงราคาและวางเงินมัดจำกันแล้วจึงขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนระหว่างโจทก์กับนายประสิทธิ์และให้นายประสิทธิ์จดทะเบียนโอนขายบ้านและที่ดินพิพาทให้จำเลย ดังนั้นฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นคนละเรื่องคนประเด็นกันและไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ทั้งเป็นการขอให้บังคับบุคคลอื่นที่ไม่ได้เข้ามาเป็นคู่ความด้วย ชอบที่จำเลยจะนำคดีไปฟ้องร้องเป็นคดีอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยนั้นชอบแล้วฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน